"ปัจจุบันเป็นยุคที่มีความเจริญของเครื่องมือเทคโนโลยีที่ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างในชิ้นเดียว อาจทำให้เกิดผลเสียที่คาดไม่ถึงและไม่รู้ตัว โดยเฉพาะการใช้เครื่องมือเพื่อช่วยจำ ช่วยคิดแทนการใช้สมอง ที่พบบ่อยในชีวิตประจำวัน เช่น บันทึกเบอร์โทรศัพท์ในมือถือ ร้องเพลงตามคาราโอเกะ ใช้เครื่องคิดเลขในโทรศัพท์หรือเครื่องคิดเลขคิดแทนการใช้สมองคำนวณ โดยเฉพาะใช้ตั้งแต่วัยเด็ก มีผลทำให้สมองขาดการใช้งาน เซลล์ประสาทขาดการกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง เกิดปัญหาเสื่อมตามมา หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า สมองเป็นสนิม อาจทำให้เกิดโรคความจำเสื่อมได้เร็วขึ้น จึงต้องใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีให้ถูกต้อง" นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมช.สธ.กล่าว
ปัจจุบันทั่วโลกพบผู้สูงอายุเป็นโรคสมองเสื่อมไม่น้อยกว่า 25 ล้านคน และอาจมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่า 5 ล้านคนต่อปี ซึ่งโรคนี้เป็นกลุ่มอาการที่เซลล์ประสาทเสื่อม สูญเสียหน้าที่การทำงานอย่างเรื้อรังอายุยิ่งมากยิ่งพบมาก ทำให้ความจำเสื่อม มีพฤติกรรมและบุคลิกเปลี่ยนไปจากเดิม
ผลการสำรวจสุขภาพผู้สูงอายุไทยโดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ล่าสุดใน พ.ศ.2551-2552 พบผู้สูงอายุมีความเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมร้อยละ 12 และข้อมูลจากสถาบันวิจัยสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา(NIH) ได้ประมาณการณ์ว่า ในปีพ.ศ.2563 ไทยอาจมีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมถึง 1.3 ล้านคน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่มากเมื่อเทียบกับจำนวนผู้สูงอายุโดยรวมของประเทศ โดยโรคนี้พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและพบในเขตชนบทมากกว่าในเมือง
สาเหตุใหญ่ในไทยพบว่าประมาณร้อยละ 60 สัมพันธ์กับโรคหลอดเลือดสมอง เช่น หลอดเลือดแข็ง ตีบ ตัน ทำเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ส่วนที่เหลือนั้นมักเป็นโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ภาวะการทำงานของต่อมไธรอยด์ผิดปกติ เป็นต้น ทำให้เกิดปัญหาทั้งตัวของผู้สูงอายุและผู้ดูแล เพราะทำให้เกิดความเครียด ความกังวล คุณภาพชีวิตที่ลดลง และมีผลถึงสังคมและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอีกด้วย
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า การป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อม แนะนำให้ประชาชนฝึกการใช้สมองบ่อยๆ ตั้งแต่เด็ก เช่น หัดท่องสูตรคูณ ท่อง ก.ไก่ อ่านหนังสือ ฝึกร้องเพลงโดยการฟังและจำ ในวัยทำงานอาจท่องบทสวดมนต์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ส่วนในผู้สูงอายุควรหมั่นคิดคำนวณเลขบ่อยๆ เพื่อใช้งานเซลล์สมองทำงาน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ตั้งเป้าหมายว่าภายใน 3-5 ปีนี้ จะเร่งลดอัตราการป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมรายใหม่ในกลุ่มผู้สูงอายุ 60-70 ปี ให้เหลือไม่เกินร้อยละ10 โดยมอบให้สถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ พัฒนาระบบการดูแลและป้องกันอย่างครบวงจร และจะให้ อสม.ที่มี 1 ล้านกว่าคน ตรวจคัดกรองหาผู้ที่มีความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม เพื่อนำเข้าสู่ระบบการฟื้นฟู และชะลอการเสื่อมให้เร็วที่สุด เพื่อช่วยลดภาระให้ครอบครัว
ขณะที่ ศ.พญ.นันทิกา ทวิชาชาติ กรรมการเลขานุการมูลนิธิโรคอัลไซเมอร์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้มูลนิธิอัลไซเมอร์ฯ ได้ร่วม ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือทีเซลส์ (TCELs) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พัฒนาโปแกรมการคัดกรองผู้เสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ สามารถใช้ทดสอบผ่านอุปกรณ์สมาร์ทโฟนเช่นไอแพด (iPad) และระบบแอนดรอยด์(Android) ที่มีขนาดหน้าจอ 7 นิ้ว โดยตัวโปรแกรมสามารถใช้ได้ทั้งผู้ดูแลผู้สูงอายุและผู้สูงอายุเองให้ผลแม่นยำแอปพริเคชั่นนี้จะสามารถรู้ความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์เบื้องต้นได้ และยืนยันตรวจของสุขภาพโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอีกครั้ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตั้ง โดยจะเปิดตัวโปรแกรมในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556