โดยกลุ่มบ้านที่อยู่อาศัยคิดเบี้ยประกันภัยพิบัติในอัตรา 0.5% ของกองทุนฯต่อปี กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ทุนประกันภัยไม่เกิน 50 ล้านบาท คิดเบี้ยประกันภัยในอัตรา 1% และภาคธุรกิจคิดเบี้ยประกันภัยที่ 1.25% ของทุนเอาประกันภัยต่อปี
ทั้งนี้ภาคครัวเรือนและธุรกิจที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติ 5 จังหวัดเมื่อช่วงปลายปี 54 ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นครปฐม นนทบุรี และกรุงเทพฯ ให้ความสนใจทำประกันภัยพิบัติถึง 310,540 ฉบับ จากจำนวนการทำประกันภัยพิบัติทั้งระบบ โดยคิดเป็นเบี้ยประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ จำนวน 201 ล้านบาท และเป็นทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ รวมทั้งสิ้น 25,698 ล้านบาท
สำหรับจังหวัดที่อยู่นอกเขตภัยพิบัติดังกล่าวที่เหลืออีก 72 จังหวัดทั่วประเทศ มีการซื้อประกันภัยพิบัติรวม 376,687 ฉบับ คิดเป็น 54.82% เป็นเบี้ยประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ 174 ล้านบาท และเป็นทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ รวมทั้งสิ้น 23,196 ล้านบาท ซึ่งกองทุนฯมีนโยบายส่งเสริมให้ภาคเอกชนในพื้นที่นี้มีการทำประกันภัยพิบัติมากขึ้น เพื่อลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากภัยพิบัติในอนาคต
ประธานกองทุนฯ กล่าวว่า นโยบายการดำเนินงานของกองทุนฯ ในปี 56 คือ การเป็นตัวกลางในการผลักดันให้ประชาชนเข้าถึงความคุ้มครองภัยพิบัติ รวมทั้งสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนต่างชาติและผู้ประกอบการต่างๆ ให้ยังคงดำเนินการและขยายการลงทุนต่อไปในประเทศไทย