ทั้งนี้ ผู้กระทำความผิดทุกรายจะถูกดำเนินคดีและมีโทษปรับ 1 แสนบาท จำคุก1 ปี หรือทั้งจำและปรับ ตามจำนวนคดีที่กระทำผิด และในส่วนของผู้ค้าตามมาตรา 7 ทางตำรวจจะบังคับใช้กฏหมายเอาผิดฐานฉ้อโดงรัฐมาดำเนินการด้วย ซึ่งมีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 6 หมื่นบาท และต้องนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จากการฉ้อโงมาคืนรัฐด้วย
สำหรับการกระทำผิดจะเริ่มตั้งแต่เดือน ม.ค.55 ที่กระทรวงพลังงานได้ประกาศปรับขึ้นราคา LPG ภาคขนส่งให้สูงกว่าภาคครัวเรือน จนล่าสุดต่างกัน 3.25 บาทต่อ กก.โดยราคาภาคครัวเรือนอยู่ที่ 18.13 บาท/กก. ส่วนภาคขนส่งอยู่ที่ 21.38 บาท/กก. จึงเป็นเหตุจูงใจให้เกิดการกระทำผิดนำก๊าซครัวเรือนไปขายแก่ภาคขนส่ง
"หลังจากที่ตำรวจได้เข้ามาร่วมตรวจสอบและ ธพ.ห้ามโรงบรรจุก๊าซบรรจุเกินปริมาณที่แจ้งตั้งแต่กลางเดือน ม.ค.56 ทำให้ยอดใช้ก๊าซครัวเรือนลดลงจาก 8,700 ตัน/วัน เหลือ 6,200 ตัน/วัน ส่วนยอดใช้ภาคยานยนต์สูงขึ้นจาก 2,900 เป็น 5,000 ตันต่อวัน ยอดอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ลดลงกว่า 200 ล้านบาท/เดือน หรือประมาณ 4,000 ล้านบาท/ปี แสดงว่า การบรรจุผิดประเภทควบคุมได้ แต่หากจะควบคุมได้ทั้งหมดต้องปรับขึ้นราคาให้ทุกประเภทมีราคาเดียวกัน" นายวีระพล กล่าว
นายวีระพล กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งว่า จากการสอบสวนผู้ค้าตามมาตรา 7 มีประมาณ 3-4 ราย, ส่วนผู้กระทำจากการขายก๊าซให้ภาครัวเรือนมี 7 ราย โดยในขณะนี้มี 1 รายมีหลักฐานชัดเจน ที่มีการจัดตั้งบริษัทนอมินี 5 แห่งมารับน้ำก๊าซแล้วส่งไปปั๊มก๊าซ LPG 300 แห่ง โดยแจ้งว่าจะนำไปบรรจุลงถังขายแก่ภาคครัวเรือน ซึ่งทางตำราวจคงจะเร่งดำเนินการเอาผิดต่อไป
สำหรับผู้ค้าตามมาตรา 7 ที่ประกอบกิจการขายก๊าซภาคครัวเรือนมีทั้งหมด 7 ราย ประกอบด้วย ปตท., สยามก๊าซ, ยูนิคก๊าซ, ปิคนิค, พีเอพี, เอ็นเอส,และออร์คิดก๊าซ