เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จ.พิษณุโลก มีปริมาณน้ำ 531 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 57 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้ 488 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี มีปริมาณน้ำ 555 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 58 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้ 552 ล้านลูกบาศก์เมตร ยังสามารถรับน้ำรวมกันได้อีกกว่า 13,700 ล้านลูกบาศก์เมตร
สำหรับสภาพน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา(12 ก.ย.) ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ในเกณฑ์ปกติ และมีแนวโน้มลดลง สถานี C.2 อ.เมืองนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 1,105 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที(รับน้ำได้สูงสุด 3,590 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที) ระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่งประมาณ 4.82 เมตร สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 997 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที(รับน้ำได้สูงสุด 2,840 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที) ระดับน้ำด้านท้ายเขื่อน ยังต่ำกว่าตลิ่งประมาณ 5.08 เมตร
และที่อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา มีปริมาณน้ำไหลผ่านประมาณ 1,301 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่ง ประมาณ 2.28 เมตร (ปริมาณน้ำที่ไหลผ่านอ.บางไทร เป็นจุดวัดปริมาณน้ำที่จะไหลผ่านเข้าสู่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่มีความสามารถรับน้ำได้สูงสุด 3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที)
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าสถานการณ์น้ำในเขื่อนใหญ่ที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนของลุ่มน้ำเจ้าพระยานั้น ถึงแม้ว่าจะมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น แต่ยังคงอยู่ในเกณฑ์น้อย ในขณะที่ฤดูฝนทางภาคเหนือเหลือระยะเวลาอีกไม่มากแล้ว จึงต้องเน้นเก็บกักน้ำให้ได้มากที่สุด เพื่อสำรองไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งที่กำลังจะมาถึงอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาการขาดแคลนน้ำที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต จึงขอให้เกษตกรเน้นการใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติในพื้นที่ของตนให้เกิดประโยชน์มากที่สุด พร้อมขอให้ร่วมมือกันใช้น้ำอย่างประหยัด