รายงานฉบับนี้ ระบุว่า ในระยะ 15 ปีข้างหน้า เมืองใหญ่ในโลกจะใช้เงินลงทุนกว่า 9 หมื่นล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในโครงสร้างพื้นฐาน การเกษตร และพลังงาน ซึ่งจะเป็นโอกาสของการลงทุนเพื่อการเติบโตแบบคาร์บอนต่ำ(Low Carbon Growth) และนำไปสู่ประโยชน์ในด้านการสร้างงาน สุขภาพ การผลิตเชิงธุรกิจและคุณภาพชีวิต
นอกจากนี้ ยังระบุถึงโอกาสการพัฒนาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณต่ำใน 3 ภาคส่วนของเศรษฐกิจโลก ได้แก่ 1) การบริหารจัดการเมืองใหญ่ ด้วยการสร้างเมืองเล็ก ๆ และเชื่อมโยงด้วยโครงข่ายระบบขนส่งมวลชน ที่สามารถประหยัดงบลงทุนได้กว่า 3 พันล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในระยะ 15 ปีข้างหน้า
2) การใช้ที่ดิน จากการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมสภาพเพียง 12% ก็สามารถผลิตอาหารสำหรับประชาชน 200 ล้านคน ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากที่ดินเสื่อมสภาพ และ 3) การใช้พลังงาน จากพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกต่าง ๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม เพื่อลดการใช้ถ่านหิน ซึ่งก่อให้เกิดมลภาวะ
"สำหรับประเทศไทยนั้นคงต้องมาดูวิธีการใช้ที่ดินที่เสื่อมสภาพว่าจะฟื้นฟูขึ้นมาอย่างไร และส่งเสริมการใช้พลังานทางเลือกต่าง ๆ ส่วนการจะทำให้ทั้ง 3 ส่วน ต้องอาศัย ปัจจัย 3 ด้าน ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การสนับสนุนนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการสร้างนวัตกรรม ด้วยการเพิ่มงบประมาณวิจัยและพัฒนาให้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 0.1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (จีดีพี) เพื่อทำให้เกิดคลื่นลูกใหม่ของนวัตกรรม เป็นต้น" นายอาคม กล่าว
อย่างไรก็ตาม รายงานนี้ไม่ได้มีข้อผูกพันระหว่างประเทศเพื่อมาบังคับใช้ แต่เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายการพัฒนา ซึ่ง สศช. ได้มีเรื่องในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ซึ่งในอยู่ในปัจจุบันในเรื่องการดูแลสภาพภูมิอากาศและการเชื่อมโยงระบบขนส่งระหว่างเมืองผ่านระบบรางด้วย
"รายงานนี้บอกว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจกับการดูแลสภาพภูมิอากาศ สามารถทำให้เกิดการพัฒนาร่วมกันได้ ไม่จำเป็นต้องแยกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง" นายอาคม กล่าว
ทั้งนี้ คณะกรรมการโลกว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจและภูมิอากาศ หรือ GCEC มีประเทศสมาชิกร่วมก่อตั้งเมื่อปี 2556 ทั้งสิ้น 7 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ นอร์เวย์ สวีเดน โคลัมเบีย เอธิโอเปีย อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้