นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการธนาคารฯ มีมติเห็นชอบให้ ธ.ก.ส.ดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2557/58 ตามมติของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) จำนวน 3 โครงการคือ 1.โครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการผลิตแก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีลงร้อยละ 3 ต่อปี รายละไม่เกิน 50,000 บาท ระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน วงเงินชดเชยดอกเบี้ย 2,292 ล้านบาท โดยรัฐบาลเป็นผู้จ่ายชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่ ธ.ก.ส.แทนเกษตรกร คาดมีเกษตรกรได้รับประโยชน์ 3.57 ล้านราย
2.โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ซึ่งเป็นสินเชื่อที่เข้าไปช่วยเกษตรกรในช่วงที่ผลผลิตออกมาเป็นปริมาณมากและมีราคาตกต่ำ เพื่อให้เกษตรกรมีทางเลือกในการชะลอการขายโดยไม่ต้องพะวงกับปัญหาเงินที่จะนำมาใช้จ่ายในครัวเรือนและภาระหนี้สิน เพราะสามารถนำผลผลิตคือข้าวเปลือกหอมมะลิและข้าวเปลือกเหนียวมาขอกู้กับ ธ.ก.ส.ในอัตราร้อยละ 80 ของราคาตลาด ในวงเงินไม่เกินรายละ 300,000 บาท โดยไม่เสียดอกเบี้ยกำหนดชำระคืนภายใน 4 เดือนนับถัดจากเดือนรับเงินกู้ เริ่มตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2557 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2558 เป้าหมายดำเนินการในเขตพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหลือ จำนวนข้าวเปลือก 1.5 ล้านตัน วงเงินสินเชื่อ 17,280 ล้านบาท
และ 3.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ได้แก่ สหกรณ์ภาคการเกษตรและกลุ่มเกษตรกร เพื่อกระตุ้นให้องค์กรของเกษตรกรเข้ามามีส่วนช่วยในการรักษาระดับราคาผลผลิตข้าวรวมทั้งมีการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิต โดยการไปรวบรวมข้าวเปลือกเพื่อการจำหน่าย วงเงินสินเชื่อ 18,000 ล้านบาท และเพื่อนำไปแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มอีก 2,000 ล้านบาท รวมวงเงิน 20,000 ล้านบาท โดย ธ.ก.ส.คิดดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตรา MLR -1(ปัจจุบัน MLR เท่ากับร้อยละ 5 ต่อปี) โดยสถาบันเกษตรกรจ่าย 1% และรัฐบาลชดเชย 3%
ที่ผ่านมา ธ.ก.ส.ร่วมกับ 3 หน่วยงานได้จัดทำหลักเกณฑ์คู่มือปฏิบัติงานและประชาสัมพันธ์โครงการซักซ้อมทำความเข้าใจเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ธ.ก.ส.ได้เริ่มปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบตามนโยบายที่ได้รับมอบหมายแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อขับเคลื่อนโครงการให้เดินหน้าต่อไปซึ่งเป็นการสนับสนุนระบบสหกรณ์และขบวนการสหกรณ์ให้เข้ามามีบทบาทที่สำคัญในการเป็นผู้ค้าสินค้าเกษตรรายใหญ่ เชื่อมโยงกับเกษตรกรในพื้นที่เพื่อช่วยคานอำนาจให้กลไกตลาดมีความสมดุลและแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม