สำหรับรายงานสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ล่าสุด(2 ต.ค.57) ที่เขื่อนภูมิพล จ.ตาก มีปริมาณน้ำ 5,545 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 41 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้ 1,745 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ มีปริมาณน้ำ 5,546 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 58 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้ 2,696 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จ.พิษณุโลก มีปริมาณน้ำ 685 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 73 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้ 642 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี มีปริมาณน้ำ 702 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 73 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้ 699 ล้านลูกบาศก์เมตร
สภาพน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา(2 ต.ค.) สถานี C.2 อ.เมืองนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 858 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที(รับน้ำได้สูงสุด 3,590 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที) ระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่งประมาณ 5.55 เมตร สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 669 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที(รับน้ำได้สูงสุด 2,840 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที) ระดับน้ำด้านท้ายเขื่อน ยังต่ำกว่าตลิ่งประมาณ 6.44 เมตร และที่อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา มีปริมาณน้ำไหลผ่านประมาณ 874 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่ง ประมาณ 2.70 เมตร (ปริมาณน้ำที่ไหลผ่านอ.บางไทร เป็นจุดวัดปริมาณน้ำที่จะไหลผ่านเข้าสู่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่มีความสามารถรับน้ำได้สูงสุด 3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที) ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ในเกณฑ์ปกติ
อนึ่ง กรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่าในช่วงเดือน ต.ค.นี้ อากาศเย็นจากประเทศจีนจะเคลื่อนตัวกดดันแนวฝนของไทยลงมายังภาคกลาง ทำให้ภาคเหนือแทบจะไม่มีฝนมาเติมในเขื่อนภูมิพลอีก จึงคาดได้ว่าวันที่ 1 พ.ย.57 ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นฤดูแล้ง เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ จะมีปริมาณน้ำใช้การได้รวมกันประมาณ 5,000 ล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น โดยจะต้องกันน้ำไว้ใช้ต้นฤดูฝนปีหน้าอีกประมาณ 3,400 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อให้ชาวนาเริ่มปลูกข้าวได้พร้อมกัน ลดปัญหาในช่วงน้ำหลาก นอกจากนี้ ยังต้องจัดสรรน้ำให้กับการผลิตน้ำประปาในพื้นที่ภาคกลางรวม 22 จังหวัด ประมาณ 1,100 ล้านลูกบาศก์เมตร และน้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศน์ไม่ให้น้ำเค็มรุกล้ำแม่น้ำเจ้าพระยาอีกประมาณ 1,400 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งมีความจำเป็นต้องดึงน้ำจากเขื่อนแควน้อยบำรุงแดนและเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มาช่วยเสริมการใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำทั้ง 2 แห่ง
ส่วนลุ่มน้ำแม่กลองคาดว่าจะมีน้ำใช้การไม่ถึง 5,000 ล้านลูกบาศก์เมตรเช่นกัน โดยต้องสำรองไว้สำหรับการเพาะปลูกต้นฤดูฝนประมาณ 3,000 ล้านลูกบาศก์เมตร การผลิตน้ำประปา 1,300 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนที่เหลืออีก 400 ล้านลูกบาศก์เมตร กรมชลประทานได้มีการพิจารณาการระบายน้ำร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เพื่อระบายน้ำมาสนับสนุนพื้นที่เพาะปลูกในช่วงที่มีฝนตกน้อยและมีการขาดแคลนน้ำในพื้นที่