สธ.เพิ่มเขตติดเชื้ออีโบลาเมืองที่ 2 ในคองโก,ยังไม่พบผู้ป่วยในไทย

ข่าวทั่วไป Monday October 13, 2014 16:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รมว.สาธารณสุข(สธ.) ลงนามในประกาศกระทรวงฯ เพิ่มเขตติดโรคไวรัสอีโบลาอีก 1 แห่ง คือ เมืองอีเคลเตอร์ ประเทศคองโก ทำให้มีพื้นที่ระบาดโรคดังกล่าวรวม 3 ประเทศ คือไลบีเรีย, เซียร์ร่าลีโอน, กินี และ 2 เมืองในไนจีเรียและคองโก ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อของไทย พ.ศ.2523 พร้อมคุมเข้มมาตรการเฝ้าระวังโรคจากผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ระบาด 3 จุดใหญ่ คือ ด่านเข้าออกทางบก น้ำ และอากาศทุกด่านทุกวันที่โรงพยาบาลรัฐและเอกชนทั่วประเทศ และในชุมชนที่มีชาวอาฟริกาตะวันตกเข้ามาอาศัยที่ จ.จันทบุรี และเขตบางรัก กทม.โดยยังไม่พบผู้ป่วยในไทย
"วันนี้ได้ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข เพิ่มพื้นที่ระบาดของโรคระบาดไวรัสอีโบลาอีก 1 ประเทศ คือที่เมืองอีเคลเตอร์ (Equateur) ของคองโกตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2523 โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันถัดไปหลังจากประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา หลังจากที่ได้ประกาศพื้นที่ระบาดของโรคนี้ไปแล้วเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2557 ใน 3 ประเทศคือไลบีเรีย กินี เซียร์ร่าลีโอน และเมืองลากอส ประเทศไนจีเรีย"รมว.สาธารณสุข กล่าว

เนื่องจากปัจจุบันโรคดังกล่าวยังมีความรุนแรง ไม่มีวัคซีนป้องกัน และยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ ดังนั้นจึงต้องใช้ระบบการเฝ้าระวังโรคและผู้ติดเชื้อเป็นสำคัญ เพื่อให้สามารถรู้โรคได้เร็ว ดูแลรักษาและควบคุมป้องกันไม่ให้โรคแพร่กระจายได้โดยเร็วที่สุด โดยไทยจะเพิ่มการเฝ้าระวังผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีโรคอีโบลาระบาดคือ 3 ประเทศ และ 2 เมืองที่ด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศทุกช่อง จนถึงวันนี้ไทยยังไม่พบผู้ป่วยโรคอีโบลา

ด้าน นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า วันนี้ได้ประชุมวอร์รูมเพื่อติดตามสถานการณ์โรคอีโบลาและมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรคของไทย โดยองค์การอนามัยโลกรายงานสถานการณ์โรคอีโบลายังไม่ลดลง ตั้งแต่ 8 ก.พ.-8 ต.ค.57 มีผู้ป่วยโรคอีโบลารวม 8,376 ราย เสียชีวิต 4,024 ราย โดยผู้ป่วยครึ่งหนึ่งป่วยในช่วง 21 วันมานี้ โดยเฉพาะที่ไลบีเรีย ซึ่งเป็นพื้นที่วิกฤติที่สุด มีผู้ป่วยรายใหม่ 2,091 ราย และที่เซียร์ร่าลีโอนมีผู้ป่วย 1,000 กว่าราย ขณะที่เตียงนอนในโรงพยาบาลไม่เพียงพอ อาจทำให้การควบคุมโรคยากลำบากขึ้น และยังมีประเทศที่พบผู้ติดเชื้อคือที่สหรัฐอเมริกา สเปน เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วย เบื้องต้นพบจุดอ่อนที่ทำให้ติดเชื้อคือขั้นตอนการถอดชุดป้องกันโรค

"เป็นโอกาสที่ไทยต้องเร่งกำชับให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในสถานพยาบาลของไทยทั้งรัฐ เอกชน ให้ดำเนินการตามแนวทางการป้องกันการติดเชื้อที่ได้กำหนดไว้แล้วให้เกิดความเข้มแข็งและความมั่นใจในการดูแลหากมีผู้ติดเชื้อในประเทศ ตั้งแต่จุดรับผู้ป่วยที่แผนกผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน ตลอดจนถึงผู้ดูแลห้องเก็บศพ โดยในระยะเร่งด่วนนี้ ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โดยจังหวัดที่มีด่านเข้าออกระหว่างประเทศ หรือมีสนามบินนานาชาติรวม 30 จังหวัด เน้นหนัก 3 มาตรการ ประกอบด้วย การป้องกันโรค การค้นหาโรคและผู้ป่วย และการดูแลรักษาพยาบาล" นพ.ณรงค์ กล่าว

สำหรับการเตรียมความพร้อมให้ความช่วยเหลือประเทศระบาดที่อาฟริกาตะวันตกตามคำร้องขอขององค์การอนามัยโลก จากการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกกระทรวงสาธารณสุข ได้วางแผนการช่วยเหลือ โดยเบื้องต้นได้มอบให้กรมควบคุมโรคและสำนักงานสาธารณสุขฉุกเฉิน ประสานจัดเตรียมทีมสำหรับประเมินความพร้อมไว้ 1 ทีมประมาณ 5-10 คน โดยหากคณะรัฐมนตรีมีมติให้ความช่วยเหลือในเรื่องใด ก็จะส่งทีมนี้เดินทางไปประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ก่อน รวมทั้งด้านความปลอดภัยบุคลากร เพื่อวางแผนการช่วยเหลือในขั้นต่อไปอย่างรัดกุมที่สุด เพื่อให้สามารถหยุดยั้งการระบาดของโรคให้เกิดความปลอดภัยให้โลก รวมถึงประเทศไทยด้วย

ขณะที่ นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผลการตรวจ คัดกรอง เฝ้าระวังผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ระบาด จนถึงขณะนี้ได้ตรวจไปแล้ว 2,103 คน ไม่พบผู้ติดเชื้อ แต่ก็ได้เพิ่มการเฝ้าระวังเพิ่มเติมคือจุดที่มีชาวอาฟริกาจากเขตติดโรคอาศัยอยู่ 2 แห่งคือที่จันทบุรีและเขตบางรัก กทม.ได้วางแผนเฝ้าระวังอย่างรัดกุม โดยจัดผู้ประสานงานให้ อสม.ช่วยดูแล ประชุมให้ความรู้แก่คลินิก โรงพยาบาลทั้งรัฐเอกชน และร้านขายยา ที่อยู่ใกล้ชุมชนทั้ง 2 แห่งนี้ ขอความร่วมมือในการเฝ้าระวังเมื่อมีชาวอาฟริกาป่วยและเข้าไปใช้บริการ รวมถึงผลิตสื่อต่างๆ ในการให้ความรู้แก่บุคลากรทางการแพทย์

นอกจากนี้ ได้ร่วมมือกับศูนย์ควบคุมโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา 5 เรื่อง ได้แก่ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานกับโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา การจัดการอบรมบุคลากรการจัดหาชุดทดสอบเชื้อในภาคสนาม (Test Kit) เพิ่มความรวดเร็วในการตรวจหาเชื้อ การสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อและการเผยแพร่รายงานสถานการณ์ประจำวันของสำนักระบาดวิทยา เพื่อเป็นตัวอย่างในการเฝ้าระวังป้องกันโรคของไทยแก่ทั่วโลกด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ