พล.อ วิทวัส กล่าวถึงแนวทางการดำเนินงานในฐานะผู้ตรวจการแผ่นดินว่า ต้องมุ่งเน้น 3 เรื่องสำคัญ คือ 1. ผู้ตรวจการแผ่นดินต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนและให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาค เพิ่มประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหาทุกข์ร้อนของประชาชน กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการแก้ไขปัญหาต้องดำเนินการอย่างถูกต้อง เที่ยงธรรม ไม่ล่าช้า เพื่อเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง เน้นการเข้าถึงประชาชนทุกพื้นที่อย่างเท่าเทียม ปรับช่องทางการยื่นเรื่องร้องเรียน เพิ่มความสะดวกโดยนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาใช้ประโยชน์ นอกจากนั้น ต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเชิงระบบที่กระทบต่อประชาชนในวงกว้าง เพื่อสร้างสังคมที่สงบและมีความสุข
2.มุ่งสร้างเสริมคุณธรรม จริยธรรม วางรากฐานสร้างเครือข่าย ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม เน้นการสร้างจิตสำนึกแก่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ตระหนักถึงการปฏิบัติหน้าที่บนพื้นฐานของคุณธรรม ปลูกฝังค่านิยมคนไทยให้เคารพกฎหมาย และเข้าใจในขอบเขตสิทธิและเสรีภาพที่แต่ละฝ่ายพึงมี ประชาชนแต่ละภาคส่วนก็ต้องมีจริยธรรมด้วยเช่นกัน เพื่อให้บ้านเมืองมีความมั่นคงและอยู่บนพื้นฐานแห่งประโยชน์สุขของประชาชนเป็นสำคัญ
3. ผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ตลอดจนสามารถให้ข้อพิจารณา และข้อเสนอแนะแก่รัฐบาลและรัฐสภาได้เป็นอย่างดีและถูกต้อง รวมถึงการใช้อำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยของประชาชน และผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตลอดจนย้ำบทบาทของผู้ตรวจการแผ่นดินไทยให้ก้าวสู่เวทีโลก โดยในปี 2559 ผู้ตรวจการแผ่นดินประเทศไทยได้รับการคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้ตรวจการแผ่นดินระดับโลก ครั้งที่ 11 หรือ “The 11th International Ombudsman Institute (IOI) World Conference" ซึ่งมีคณะกรรมการบริหารของสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินนานาประเทศเข้าร่วมกว่า 150 คณะ การจัดประชุมดังกล่าวจะเป็นการสร้างและส่งเสริมบทบาทของผู้ตรวจการแผ่นดินไทยให้ได้รับความเชื่อมั่นในระดับสากลยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ พล.อ วิทวัส เข้าดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดินแทนนายพรเพชร วิชิตชลชัย ที่ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดินเมื่อวันที่ 1 ก.ย.5
ปัจจุบันพล.อ. วิทวัส อายุ 62 ปี เกิดเมื่อวันที่ 27 เม.ย 2495 สำเร็จการศึกษาวิทยาศาสตรบัณฑิตจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการเมืองการปกครอง จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร รุ่น 2548 (วปอ. 2548) หลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง รุ่นที่ 17 โดยเริ่มรับราชการครั้งแรกในตำแหน่งผู้บังคับหมวด กองพันทหารราบที่ 1 กรมผสมที่ 2 เคยดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมเทคโนโลยีสารสนเทศและอวกาศกลาโหม ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนกลาโหม เลขาธิการสภากลาโหม ตุลาการศาลทหารสูงสุด รองปลัดกระทรวงกลาโหม เคยรักษาราชการปลัดกระทรวงกลาโหมก่อนการเกษียณอายุราชการ และเคยดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี นักวิชาการประจำคณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร และที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นต้น