"อัยการสูงสุดได้พิจารณาพยานหลักฐานที่คณะทำงานร่วมฯ ส่งมา ประกอบกับพยานหลักฐานที่มีในสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.แล้วเห็นว่า คดีมีความสมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีอาญาฟ้องผู้ถูกกล่าวหาต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ จึงให้ดำเนินคดีอาญาฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตามข้อกล่าวหา" นายสุรศักดิ์ ศรีรัตนตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน กล่าว
ทั้งนี้ สืบเนื่องจาก ป.ป.ช.ได้ส่งสำนวนการไต่สวนกรณีกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการในโครงการรับจำนำข้าว เพื่อให้อัยการสูงสุดพิจารณาฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542(และที่แก้ไขเพิ่มเติม) มาตรา 123/1
ต่อมาอัยการสูงสุดได้พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีดังกล่าวที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ส่งมานั้นยังไม่สมบูรณ์พอที่จะยื่นฟ้องคดีต่อศาลฯ ได้จึงแจ้งข้อไม่สมบูรณ์ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทราบ และได้มีการตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างสำนักงานอัยการสูงสุดและสำนักงาน ป.ป.ช.ขึ้นเพื่อเป็นผู้แทนไปดำเนินการพิจารณาพยานหลักฐานที่ไม่สมบูรณ์ และรวบรวมพยานหลักฐานให้สมบูรณ์ เพื่อส่งให้อัยการสูงสุดฟ้องคดีต่อไป
อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน กล่าวว่า หลังจากนี้ทางอัยการจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเอกสารหลักฐานทั้งหมดประมาณ 4 พันหน้า ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน หลังจากนั้นจะส่งสำนวนคำฟ้องได้
"การวินิจฉัยของอัยการสูงสุดครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการลงมติถอดถอนฯ ของ สนช.แต่เป็นการพิจารณาตามขั้นตอน เมื่อเอกสารครบถ้วนก็ต้องดำเนินการ" นายสมศักดิ์ กล่าว