นายไพบูลย์ กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ได้ตั้งข้อสังเกตต่อ ปปง.ว่า เหตุใดจึงไม่อายัดบัญชีของพระธัมมชโยที่มีเงินถึง 300 กว่าล้านบาท ทั้งที่ควรยึดบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดของพระธัมมชโย เพราะเป็นเงินที่ได้จากการฉ้อโกง รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างและที่ดินของวัด 196 ไร่ ที่เป็นเขตธรณีสงฆ์ และทราบว่าวัดธรรมกายมีพื้นที่อีกกว่าพันกว่าไร่ในนามมูลนิธิธรรมกายและมูลนิธิอื่นๆ ไม่ถือว่าเป็นเขตธรณีสงฆ์ ฉะนั้นจึงสามารถบังคับคดีได้
นายไพบูลย์ กล่าวว่า การประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 3 มี.ค.นี้จะเชิญผู้แทนของดีเอสไอและกรมที่ดินมาให้ข้อมูล โดยจะขอให้กรมที่ดินตรวจสอบที่ดินที่อยู่ในส่วนของมูลนิธิฯว่ามีที่มาถูกต้องหรือไม่ ตลอดจนจะขอสำเนาเช็คสั่งจ่ายทั้งหมดของวัดธรรมกายมาตรวจสอบ รวมทั้งจะมีการรวบรวมข้อมูลไปให้ รมว.ยุติธรรม ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน มี.ค. นอกจากนี้ กรรมการฯ บางคนเป็นห่วงว่า จะต้องมีการตรวจสอบเงินภายในวัด เนื่องจากอาจจะเป็นแหล่งฟอกเงินได้ ซึ่งไม่มีการเสียภาษี
นายไพบูลย์ ยังกล่าวถึงมติมหาเถรสมาคม(มส.) เมื่อวันที่ 20 ก.พ.58 ที่ระบุว่า พระธัมมชโย ไม่ปาราชิก ว่า ที่ประชุมฯ ไม่เห็นด้วยกับมติ มส.ล่าสุด เพราะเป็นการยกเลิกพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชทั้ง 3 ฉบับ รวมทั้งมติ มส.ฉบับที่ 193/42 โดยเห็นว่า เป็นมติที่เป็นปัญหา แม้จะเป็นอำนาจของมหาเถรสมาคมก็ตาม แต่ก็ต้องชอบด้วยกฎหมายและพระธรรมวินัย จะมาขัดหรือแย้งต่อพระธรรมวินัยไม่ได้ เพราะเมื่อปาราชิกไปแล้วก็ถือว่าจบ ไม่สามารถกลับมาเป็นพระได้ใหม่อีก จึงอยากเรียกร้องให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการให้เป็นไปตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช และรับรองโดยมติ มส. ฉบับที่ 193/42 ต่อไป