อธิบดีกรมควบคุมโรคยันยังไม่พบผู้ป่วยโรคลิชมาเนียในประเทศไทย

ข่าวทั่วไป Friday March 20, 2015 18:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

อธิบดีกรมควบคุมโรค ยันขณะนี้ยังไม่พบผู้ป่วยโรคลิชมาเนียในประเทศไทย และที่ผ่านมาพบผู้ป่วยโรคนี้ในประเทศไทยน้อยมากเพียงปีละไม่เกิน 10 ราย พร้อมเตือนประชาชนที่ชอบท่องเที่ยวป่าเขาให้ระวังแมลงกัดต่อย

"สถานการณ์โรคลิชมาเนียในประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยครั้งแรกในปี 2503 เป็นผู้ป่วยที่เดินทางกลับจากตะวันออกกลาง ต่อมาปี พ.ศ.2539 พบผู้ป่วยรายแรกที่ติดเชื้อในประเทศที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี หลังจากนั้นปี พ.ศ.2539-2557 พบผู้ป่วยคนไทยสะสมทั้งหมด 23 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่ติดเชื้อเอชไอวี-เอดส์ร่วมด้วย ยังไม่พบว่ามีการเสียชีวิตจากโรคลิชมาเนีย และในปี พ.ศ. 2557 พบผู้ป่วย 2 ราย เป็นวัยแรงงาน มีอาชีพเกษตรกรรมทำไร่และทำสวน และปีนี้ยังไม่พบผู้ป่วยในประเทศไทย" นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว

ทั้งนี้ ข้อมูลองค์การอนามัยโลกระบุว่า มีผู้ป่วยโรคลิชมาเนียรายใหม่ทั่วโลกแต่ละปีประมาณ 1.3 ล้านคน เสียชีวิตปีละ 20,000-30,000 คน โดยเป็น 1 ใน 6 ของโรคในเขตร้อนที่มีความสำคัญ มีรายงานผู้ป่วยใน 98 ประเทศ โดยเฉพาะในประเทศแถบอัฟริกา เอเชีย และลาตินอเมริกา การแพร่ระบาดพบได้บ่อยในประชากรที่ยากจน ขาดสารอาหารหรือทุพโภชนาการ กลุ่มทหารอพยพที่ไปช่วยรบ คนทำถนนเข้าไปในป่า นักท่องเที่ยว ฯลฯ

อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคลิชมาเนียหรือโรคคาลาอาซาร์(Kala-azar) เป็นโรคที่เกิดในสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง เช่น กระรอก กระแต หนู สุนัข เป็นต้น แล้วแพร่มาสู่คนโดยริ้นฝอยทรายเพศเมีย(sand fly) ซึ่งเป็นแมลงอาศัยอยู่ตามพื้นดิน ในที่มืด อากาศเย็น และมีความชื้น เช่น กองอิฐ กองหิน กองไม้ฟืน จอมปลวกเก่า รอยแตกของฝาผนังหรืออิฐ ตอไม้ผุ หรือตามพื้นดินที่มีใบไม้ปกคลุมในป่าทึบ และใกล้คอกสัตว์ เป็นพาหะนำเชื้อมาแพร่สู่คน ริ้นฝอยทรายจะดูดเลือดของสัตว์ที่มีตัวเชื้อโปรโตซัวลิชมาเนีย (Leishmania) ซึ่งอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดขาวสัตว์ และมากัดคนต่อ หลังคนติดเชื้อจะมีระยะฟักตัวโดยเฉลี่ยประมาณ 3-6 เดือน จึงปรากฏอาการ อาการป่วยเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป คือ จะมีไข้เรื้อรัง เป็นๆ หายๆ มีอาการซีด และอาจมีเลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน ท้องอืด ตับม้ามโต น้ำหนักลด ต่อมน้ำเหลืองโต ผิวหนังคล้ำขึ้น ไม่มีแรง บางรายมีแผลที่ผิวหนัง และที่เยื่อบุรอบปากและจมูก แผลมี 2 ลักษณะ คือมีแผลที่รอยกัดจะเป็นตุ่มแดงและแตก เป็นแผล ไม่เจ็บ ใช้เวลารักษานานหลายปี อาจเป็นๆหายๆ แผลมักขึ้นที่หน้าและใบหู โรคนี้ มียารักษาหายขาด อย่างไรก็ตามโรคนี้อาจมีโรคแทรกซ้อนเกิดตามมาได้ เช่น ปอดบวม ซูบซีด กระเพาะอาหารลำไส้อักเสบ หากไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาช้าอาจเสียชีวิตได้

วิธีป้องกันโรคลิชมาเนีย คือ ไม่ให้ริ้นฝอยทรายกัด ได้แก่ 1. ประชาชนที่เข้าป่า ไปถ้ำ ทำสวน ทำไร่ ควรสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิดรัดกุม เช่น เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว สวมรองเท้า ยัดปลายขากางเกงในรองเท้ายัดปลายเสื้อในกางเกง ทายากันยุง เป็นต้น ซึ่งจะป้องกันได้ เนื่องจากริ้นฝอยทรายมีปากสั้น ไม่สามารถกัดผ่านเสื้อผ้าได้ พักค้างควรนอนในมุ้ง และไม่ควรอยู่นอกบ้านช่วงพลบค่ำ ซึ่งริ้นฝอยทรายออกหากินมาก 2.ทายากันแมลงบริเวณผิวหนังที่อยู่นอกร่มผ้า 3.นอนกางมุ้งที่ชุบด้วยสารเคมีป้องกันยุงและแมลง ดูแลบริเวณบ้านเรือนให้สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย 4.หลังกลับจากพื้นที่โรคระบาด ภายใน 3-6 เดือน หากมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย มีอาการท้องเดิน ท้องผูก เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ให้พบแพทย์และแจ้งประวัติการเดินทาง เพื่อการรักษาอย่างรวดเร็วและถูกต้อง ประชาชนสามารถโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค หมายเลข 1422

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ