นอกจากนี้มีผลการพัฒนาที่เห็นอย่างเด่นชัด คือ 1. มีการเพิ่มความครอบคลุมการบริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ถึงร้อยละ 71.80 โดยมี 5 จังหวัดที่มีความครอบคลุมการบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินทุกพื้นที่ คือ จ.สุพรรณบุรี จ.สระแก้ว จ.ระนอง จ.ภูเก็ต และ จ.ชัยภูมิ 2. การแจ้งเหตุผ่านสายด่วน 1669 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 75.82 จากการแจ้งเหตุทั้งหมด และมีผู้ป่วยฉุกเฉินที่มาด้วยระบบการแพทย์ฉุกเฉินในอัตราที่เพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งทำผู้ป่วยฉุกเฉินมีอัตราการรอดชีวิตที่สูงขึ้น เนื่องจากได้รับการช่วยเหลือที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน และ 3.ความคล่องแคล่วในการปฏิบัติการฉุกเฉิน หรือสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุได้ภายใน 8 นาที สามารถดำเนินการได้ร้อยละ 47.20 และส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่เข้ารักษามีอาการทุเลา ถึงร้อยละ 86.88
พร้อมกันนั้นยังมีการพัฒนาในอีกหลายเรื่อง เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินมากขึ้น อาทิ การช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินทางอากาศยาน หรือ sky doctor ที่เน้นการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร หรือพื้นที่ที่ยากต่อการเข้าถึง, การผลักดันให้มีการติดตั้งเครื่องฟื้นคืนคลื่นหัวใจด้วยไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ (AED) ในพื้นที่สาธารณะเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉินที่หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันให้มีโอกาสรอดชีวิตที่ขณะนี้ดำเนินการติดตั้งและจัดอบรมการใช้งานให้กับประชาชนทั่วไปในหลายพื้นที่แล้ว
เลขาธิการ สพฉ. กล่าวต่อว่า สำหรับการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อปิดช่องว่างทางการแพทย์ฉุกเฉิน สพฉ.มีแผนระยะสั้นที่จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน คือ 1. จัดตั้ง "ทีมหนึ่งตำบลหนึ่งทีมกู้ชีพกู้ภัย" เพื่อให้การช่วยเหลือมีความครอบคลุมและคล่องแคล่วมากยิ่งขึ้น 2. เตรียมพร้อมสายด่วน 1669 ให้ประชาชนสามารถโทรทั่วไทยยามเจ็บป่วยฉุกเฉินได้ตลอด 24 ชั่วโมง และเชื่อมโยงการทำงาน กับทีมกู้ภัย ดับเพลิง และตำรวจเพื่อให้ประชาชนจดจำได้ง่ายผ่านสายด่วน 112 ต่อไป
3. เพิ่มช่องทางการนำส่งและดูแลรักษาพิเศษแบบด่วน (Fast Track) สำหรับกลุ่มโรคที่ต้องการรักษาด่วนพิเศษ เช่น เส้นเลือดสมองหรือเส้นเลือดหัวใจอุดตัน หรืออุบัติเหตุ 4.เพิ่มคุณภาพการช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยปรับปรุงหลักสูตรและการจัดอบรมสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ฉุกเฉินทุกระดับ และเพิ่มความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน
ส่วนการพัฒนาในระยะยาวที่จะต้องดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 3 ปี คือ ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติทั่วไทยจะต้องได้รับการคุ้มครอง ได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนและมีคุณภาพในทุกโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้และมีความพร้อมเพื่อให้พ้นวิกฤติ และผู้ป่วยฉุกเฉินที่ต้องการการช่วยเหลือเป็นพิเศษ เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้พิการ จะต้องเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินที่รวดเร็วและเข้าถึงง่าย นอกจากนี้จะต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนสามารถจดจำและใช้สายด่วน 112 เพียงเบอร์เดียว เพื่อแจ้งเหตุฉุกเฉินทุกกรณี พร้อมผลักดันให้คนไทยทุกพื้นที่มีความพร้อมช่วยเหลือปฐมพยาบาลและช่วยฟื้นคืนชีพเมื่อพบเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉินและมีการช่วยเหลือรักษาต่ออย่างครบวงจร รวมทั้งพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของอาเซียน เพื่อพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินและการพร้อมตอบสนองทางการแพทย์เพื่อรับสาธารณภัย