ทั้งนี้ กรมชลประทานได้ประกาศขอความร่วมมือเกษตรกรชะลอการปลูกข้าวนาปีในลุ่มน้ำเจ้าพระยาออกไปก่อน เนื่องจากพื้นที่ชลประทานลุ่มเจ้าพระยาเป็นพื้นที่การเพาะปลูกขนาดใหญ่ของประเทศ และใช้น้ำจาก 4 เขื่อนหลักในการบริหารจัดการ โดยปริมาณน้ำใช้การได้ขณะนี้ก็มีอย่างจำกัด และจำเป็นต้องบริหารจัดการน้ำที่มีจำกัดอย่างรัดกุม ซึ่งจากแผนการเพาะปลูกข้าวนาปี ปี 2558 พื้นที่ชลประทานลุ่มเจ้าพระยา 22 จังหวัด รวม 7.45 ล้านไร่
ล่าสุดพบว่ามีการเพาะปลูกแล้ว 3.44 ล้านไร่ ยังคงเหลือพื้นที่ที่ยังไม่เพาะปลูกอีกประมาณ 4 ล้านไร่ จึงจำเป็นจะต้องเร่งสร้างความเข้าใจกับเกษตรกรถึงสถานการณ์ที่มีอยู่จริงอยู่ในขณะนี้ เพื่อร่วมมือกับทางภาครัฐในการชะลอการทำนาปีออกไปก่อนจนกว่าฝนในฤดูปกติจะมาถึง ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าจะมีฝนตกชุกตามฤดูกาลในช่วงกลาง-ปลายเดือน ก.ค.นี้
"กระทรวงเกษตรฯ จำเป็นต้องขอความร่วมมือเกษตรกรชะลอปลูกข้าวนาปีออกไปก่อน เนื่องจากปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยาต่ำกว่าเป้าหมายมาก ขณะเดียวกันปริมาณฝนที่ตกในช่วงเดือนพฤษภาคมในภาคกลางก็ต่ำกว่าปี 2557 ถึง 45% แต่กรมชลประทานยังต้องจัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค และรักษาระบบนิเวศน์ไม่ให้ได้รับผลกระทบ ดังนั้นพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาซึ่งเริ่มฤดูนาปีตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งขณะนี้มีพื้นที่ปลูกข้าวแล้ว 3.44 ล้านไร่ กรมชลประทานจะบริหารจัดการน้ำที่มีอยู่ไม่ให้พื้นที่ที่ลงมือเพาะปลูกไปแล้วได้รับความเสียหาย" นายปีติพงศ์ กล่าว
ส่วนพื้นที่ที่ยังไม่เพาะปลูกได้สั่งการให้หน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับทางจังหวัดในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับเกษตรกรถึงสถานการณ์จริงที่เป็นอยู่ รวมถึงใช้โอกาสนี้เข้าไปสำรวจความต้องการของเกษตรกรที่ต้องชะลอการปลูกข้าวนาปีไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ใช้น้ำน้อยกว่าให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์หน้า เพื่อพิจารณามาตรการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปุ๋ยพืชสด การทำประมง หรือปศุสัตว์ จนถึงช่วงที่ฝนมาปกติ
ส่วนพื้นที่อื่นๆ ที่ยังไม่เริ่มฤดูเพาะปลูกทางกรมชลประทานจะติดตามสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด โดยภาคตะวันนอก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะเริ่มนาปีในเดือนมิถุนายน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการปลูกข้าวโดยวิธีหว่าข้าวแห้งและใช้ฝนธรรมชาติ ก็ไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนัก ภาคเหนือและตะวันออก เริ่มปลูกในเดือนกรกฏหาคมซึ่งก็ต้องดูสถานการณ์ฝนอีกครั้ง ส่วนภาคใต้และตะวันตกเริ่มปลูกในเดือนสิงหาคม
ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าในช่วงวันที่ 14-18 มิ.ย.58 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มมากขึ้นในช่วงวันที่ 12-18 มิ.ย. โดยทั่วประเทศจะมีฝนตกประมาณ 5-20 ม.ม.แม้จะเป็นปริมาณฝนที่ไม่มากนักแต่ก็จะบรรเทาความแห้งแล้งและเพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศได้บางส่วน ซึ่งได้สั่งการให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรติดตามสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด
โดยสภาพอากาศในทั่วทุกภาคขณะนี้ พบว่ามีความชื้นสัมพันธ์ในอากาศเพิ่มมากขึ้นมากกว่า 60% โดยเฉพาะภาคเหนือที่มีความชื้นมากกว่า 70% ซึ่งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงที่มีอยู่ทั้ง 13 ฐาน ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์ ลพบุรี กาญจนบุรี ขอนแก่น นครราชสีมา ระยอง จันทบุรี อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี สงขลา และอุบลราชธานี พร้อมปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อเติมน้ำในเขื่อนและสำรองน้ำให้ได้มากที่สุด