โดยในช่วงเช้าวันนี้จะเป็นการประชุมทวิภาคีระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ซึ่งเป็นการประชุมระดับปลัดกระทรวง ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิชาการ เพื่อสรุปผลและทบทวนแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านสาธารณสุข พ.ศ.2556-2558 ทั้งด้านความคืบหน้าการปฏิบัติ และปัญหาอุปสรรค รวมทั้งพิจารณาข้อเสนอกิจกรรมการดำเนินงานในระยะสั้น พ.ศ. 2558-2559 ที่ไทยจะนำเสนอต่อที่ประชุมวันนี้ มี 3 ด้าน ได้แก่ 1.การฝึกอบรมบุคลากรใน 3 สาขา คือจิตเวช สุขภาพจิตชุมชน และการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค 2.การพัฒนาระบบสาธารณสุขชายแดน สำหรับแรงงานต่างด้าวและประชากรข้ามพรมแดน 3.การศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนากฎหมายอาหารและยา การแพทย์พื้นบ้าน สุขาภิบาลอาหาร และกิจกรรมระยะปานกลาง พ.ศ. 2559-2561 ก่อนนำเสนอเข้าที่ประชุมระดับรัฐมนตรีสาธารณสุขในวันที่ 24 ก.ค. ต่อไป
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีความร่วมมือด้านสาธารณสุขกับประเทศเมียนมาร์ ตั้งแต่ พ.ศ.2543 เป็นต้นมา เริ่มจากการควบคุมป้องกันโรคตามแนวชายแดนระหว่างประเทศใน 10 จังหวัดของไทยตั้งแต่จังหวัดเชียงรายลงไปถึงจังหวัดระนอง ระยะทาง 2,837 กิโลเมตร เน้น 3 โรคสำคัญที่เป็นปัญหา ได้แก่ มาลาเรีย เอชไอวี/เอดส์และวัณโรค โดยมีความร่วมมือทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะการพัฒนาความร่วมมือในพื้นที่ชายแดน 4 จังหวัดคู่แฝด ได้แก่ เชียงรายกับท่าขี้เหล็ก ตากกับเมียวดี ระนองกับเกาะสอง และกาญจนบุรีกับทวาย และมีการขยายความร่วมมือด้านอื่นตามลำดับ
ที่ผ่านมาทั้งสองประเทศได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2556 และจัดทำแผนปฏิบัติการความร่วมมือ พ.ศ.2556-2558 ใน 7 สาขาได้แก่ 1.การเฝ้าระวังโรคติดต่อ ได้แก่เอดส์ มาลาเรียและวัณโรค โรคอุบัติใหม่ เช่น ไข้หวัดนก รวมทั้งเฝ้าระวังปัญหาเชื้อดื้อยา 2.การควบคุมมาตรฐานอาหารและยา มีการตั้งจุดตรวจสอบยาปลอมและยาต่ำกว่ามาตรฐาน 4 แห่งคือท่าขี้เหล็ก ทวาย เกาะสอง และเมียวดี 3.การพัฒนาแพทย์พื้นบ้านและสมุนไพร 4.การควบคุมผลิตภัณฑ์ยาและเครื่องสำอาง โดยเน้นแลกเปลี่ยนระเบียบและกฎหมายอาหารและยา
5.การควบคุมโรคติดต่อและโรคติดต่ออุบัติใหม่ โดยเฉพาะโรคระบาดข้ามเขตแดน 6.การส่งเสริมสุขภาพและโภชนาการ และ7.การพัฒนาระบบบริการสุขภาพแรงงานต่างด้าวรวมทั้งประชากรข้ามพรมแดนระหว่าง 2 ประเทศซึ่งมีประมาณ 1.6 ล้านคน โดยเฉพาะการจัดหลักประกันสุขภาพที่เหมาะสมให้กับประชากรที่มีการเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดน ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูล การพัฒนาบุคลากรและการศึกษาวิจัยร่วมกัน