ด้านนายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดี ปภ.กล่าวว่า ระยะนี้หลายพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกต่อเนื่อง ทำให้สถานการณ์ภาวะฝนแล้งคลี่คลายลง จากเดิมที่มีจังหวัดประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน(ภาวะฝนแล้ง) 10 จังหวัด ขณะนี้สถานการณ์คลี่คลายแล้ว 7 จังหวัด ยังคงมีสถานการณ์ใน 3 จังหวัด ได้แก่ พิจิตร สุโขทัย และสุพรรณบุรี รวม 25 อำเภอ 179 ตำบล 1,496 หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 2.0 ของจำนวนหมู่บ้านทั่วประเทศ ประชาชนได้รับผลกระทบ 56,224 ครัวเรือน 78,374 คน รวมพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย 372,698 ไร่
ทั้งนี้ ปภ.ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือผู้ประสบภาวะฝนแล้ง โดยจัดรถบรรทุกน้ำ 60 คัน ออกให้บริการ 1,468 เที่ยว รวมแจกจ่ายน้ำทั้งสิ้น 15,478,000 ลิตร พร้อมปรับปรุงซ่อมและสร้างทำนบ/ฝายเก็บน้ำ 2 แห่ง ดำเนินโครงการขุดลอกแหล่งน้ำ 2 แห่ง ซ่อมสร้างบ่อบาดาล/ประปาหมู่บ้าน 5 แห่ง รวมถึงประสานจังหวัดดำเนินมาตรการจ้างแรงงานประชาชนในพื้นที่ โดยใช้งบประมาณจากเงินทดรองราชการในเชิงป้องกันหรือยับยั้งภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน เพื่อดำเนินกิจการต่างๆ ที่เป็นการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในระยะเร่งด่วนเฉพาะหน้า อาทิ กำจัดผักตบชวา ขุดลอกคูคลอง เปิดทางน้ำ เป่าล้างบ่อบาดาล ซ่อมแซมประปาชุมชน รวมถึงส่งเสริมอาชีพระยะสั้นที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตชุมชน ตลอดจนได้ประสานให้จังหวัดเร่งประชาสัมพันธ์ข้อมูลการจ้างงานของหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นแก่ประชาชน ส่งเสริมการจ้างงาน สร้างอาชีพและรายได้แก่ประชาชนในพื้นที่ประสบภัย
อย่างไรก็ตาม แม้ระยะนี้จะมีฝนตกในหลายพื้นที่ แต่น้ำที่ไหลลงอ่างเก็บน้ำยังมีปริมาณน้ำไม่มากพอ โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำหลัก 4 แห่ง ในลุ่มน้ำเจ้าพระยายังมีปริมาณน้ำต่ำกว่าเกณฑ์ค่าเฉลี่ย จึงได้กำชับให้จังหวัดยังคงดำเนินมาตรการประหยัดน้ำอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ติดตาม ประเมินสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนจัดสรรน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีน้ำใช้อย่างเพียงพอ และสร้างความมั่นคงด้านน้ำในระยะยาวของประเทศ