"ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดภายใน 2 ชั่วโมงหลังจากส่งผู้ป่วยถึงห้องผู้ป่วยฉุกเฉินได้กว่าร้อยละ 80 รวมทั้งได้เพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปในภูมิภาค โดยมีศัลยแพทย์ที่สามารถผ่าตัดสมองได้ 51 แห่ง" นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัด สธ.กล่าว ปลัด สธ.กล่าวว่า งานบริการผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน เป็นด่านหน้าที่มีความสำคัญของโรงพยาบาลทุกแห่ง เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะวิกฤตรวดเร็ว ปลอดภัยลดความพิการ ข้อมูลจากศูนย์อุบัติเหตุฉุกเฉินในปี 2555 พบผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินเข้ารักษาที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศจำนวน 24 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นจากปี 2544 ที่มีเพียง 12 ล้านครั้ง และข้อมูลจากสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุขในปี 2556 มีผู้ป่วยอุบัติเหตุจากการขนส่งเข้ารับบริการที่แผนกผู้ป่วยนอก 1 ล้านกว่าคน และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากอุบัติเหตุยังคงเป็นปัญหาสำคัญของไทย โดยเฉพาะอุบัติเหตุทางจราจรที่มีอัตราการเสียชีวิต 38 ต่อประชากรแสนคน สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งนี้ สธ.ได้เร่งพัฒนาระบบบริการสาขาอุบัติเหตุและฉุกเฉินดังนี้ 1.มีระบบจัดเก็บข้อมูลผู้บาดเจ็บ เพื่อวิเคราะห์สาเหตุและอัตราการตาย 2.จัดตั้งเครือข่ายการให้บริการผู้บาดเจ็บระดับจังหวัด เขตสุขภาพและประเทศ 3.จัดระบบการดูแลผู้บาดเจ็บก่อนถึงโรงพยาบาล(Pre-hospital)ดูแลผู้บาดเจ็บที่จุดเกิดเหตุ ให้ผู้บาดเจ็บฉุกเฉินได้รับการช่วยเหลือโดยระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินเพิ่มขึ้น และนำส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาลอย่างปลอดภัยด้วยรถพยาบาลที่มีมาตรฐาน 4.จัดระบบเครือข่ายการให้บริการผู้บาดเจ็บสมองที่มีความรุนแรงระดับปานกลางถึงรุนแรงและผู้บาดเจ็บหลายระบบ 5.จัดระบบเครือข่ายการดูแลฟื้นฟูผู้บาดเจ็บเมื่อพ้นภาวะวิกฤต ระดับจังหวัดและเขตสุขภาพ โดยทำงานเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงตั้งแต่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลจังหวัด
นอกจากนี้ยังได้พัฒนาระบบบริการในโรงพยาบาล(In-hospital)จัดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประจำห้องฉุกเฉิน และระบบการให้คำปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ช่วยให้ผู้บาดเจ็บได้รับการดูแลรวดเร็ว จัดช่องทางด่วนรองรับโรคที่เร่งด่วน เช่น โรคหัวใจ บาดเจ็บรุนแรง ซึ่งผลการดำเนินการที่ผ่านมาสามารถเพิ่มระบบช่องทางด่วนสำหรับผู้ป่วยบาดเจ็บ(Trauma Fast Track) ในสถานบริการทุกเครือข่าย โดยเฉพาะผู้บาดเจ็บสมอง(Head Injury) และบาดเจ็บหลายระบบ (Multiple Injury)