เรื่องที่ 2.การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวติดต่อกัน 6 เดือน ไม่ต้องให้น้ำหรืออาหารอื่น หลังจากนั้นจึงให้กินนมแม่ร่วมกับอาหารอื่นจนถึง 2 ปี ตามคำแนะนำองค์การอนามัยโลก ในปีนี้ตั้งเป้าให้ได้ร้อยละ 30 เนื่องจากนมแม่เป็นอาหารของลูกที่ดีที่สุด มีสารอาหารกว่า 200 ชนิด ร่างกายเติบโต พัฒนาสมอง จอประสาทตา เด็กสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เร็ว การโอบกอด การสบตา พูดคุยของแม่ขณะให้นมลูก ทำให้ลูกรู้สึกผ่อนคลาย มีความสุข ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้สมองทำงาน ส่งผลให้เส้นใยในสมองแตกกิ่งก้านสาขา มีผลต่อการคิด เรียนรู้ การจินตนาการ ผลวิจัยทั่วโลกยืนยันตรงกันว่าเด็กที่กินนมแม่จะมีไอคิวสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้กิน 5 – 11 จุด
"ผลสำรวจอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนของไทย ล่าสุดในปี 2554 อยู่ที่ร้อยละ 12 ติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่มีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนน้อยที่สุดของโลก เนื่องมาจากยังมีแม่ร้อยละ 47 ที่เชื่อว่าต้องให้ลูกกินน้ำตามหลังกินนมแม่เพื่อล้างปาก นักวิชาการอยู่ระหว่างการศึกษาว่าน้ำที่เด็กกินเข้าไป มีผลให้เด็กได้สารอาหารจากนมแม่น้อยลงหรือไม่ นอกจากนี้ยังเป็นผลมาจากการโฆษณาของบริษัทผลิตภัณฑ์นมผง อวดอ้างสรรพคุณว่ามีสารช่วยให้เด็กฉลาด แข็งแรง ทำให้แม่เข้าใจผิด พลาดโอกาสทองเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ช่วง 2 ปีแรกเป็นช่วงที่สมองกำลังพัฒนาสูงสุด จึงเร่งผลักดันกฎหมายควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีภายในเดือนนี้" นพ.รัชตะกล่าว
ด้านนพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยได้เร่งพัฒนาระบบบริการแม่และเด็ก มีมิสนมแม่ให้ความรู้ฝึกทักษะการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในโรงพยาบาลทุกระดับทั่วประเทศ 10,527 แห่ง ให้ความรู้ อสม. เรื่องนมแม่ ร่วมกับทีมหมอครอบครัว ออกเยี่ยมบ้านหญิงหลังคลอด 7 วันทุกคนในชุนชม หมู่บ้าน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ประสบความสำเร็จ และจัดโครงการตำบลพัฒนาการเด็กดีเริ่มที่นมแม่ สร้างครอบครัวต้นแบบเด็กพัฒนาการดี เริ่มที่นมแม่ ระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในชุมชน จัดทำแผนพัฒนาตำบลโดยชุมชนมีส่วนร่วมสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน เพื่อให้เด็กที่มีพัฒนาการสมวัยเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 85 ล่าสุดมีตำบลที่ผ่านเกณฑ์แล้ว 786 ตำบล จากประมาณ 7,000 ตำบลทั่วประเทศ