ด้าน พล.ต.ต.ชาญเทพ เสสะเวช รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(รอง ผบช.น.) กล่าวว่า ชุดสืบสวนคลี่คลายคดีไม่ได้เรียกตัวชาวตุรกีจำนวน 33 คนมาสอบปากคำอย่างที่สื่อต่างประเทศเสนอข่าว และการเชิญมาสอบปากคำจะไม่ได้เน้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะมีการเรียกมาสอบสวนเพื่อหาข้อมูลในทุกกลุ่ม
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. ระบุว่า ขณะนี้พอมีเบาะแสของกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังผู้ก่อเหตุแล้วนั้น ทางชุดสืบสวนก็ได้เร่งหาหลักฐานความเชื่อมโยงไปถึงกลุ่มดังกล่าวอยู่ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ส่วนการออกหมายจับผู้ต้องหาที่ท่าเรือสาทรนั้นยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นชาวต่างชาติหรือชาวไทย แต่เป็นการออกหมายจับตามภาพจากวงจรปิดเท่านั้น รวมทั้งอยู่ระหว่างเร่งหาความเชื่อมโยงของเหตุระเบิดทั้งสองแห่งด้วย
ขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เผยมีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ก่อเหตุลอบวางระเบิดบริเวณแยกราชประสงค์และท่าเรือสาทรอาจเป็นกลุ่มขบวนการเดียวกัน เนื่องจากมีลักษณะการก่อเหตุคล้ายกัน แต่ยังไม่สามารถระบุสัญชาติผู้ก่อเหตุได้
"จากการสันนิษฐานเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่เชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ก่อเหตุทั้ง 2 รายอาจเป็นกลุ่มขบวนการเดียวกัน เนื่องจากลักษณะการก่อเหตุคล้ายกัน แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ในตอนนี้จนกว่าจะมีหลักฐานที่แน่ชัด และเชื่ออีกว่าทั้ง 2 เหตุการณ์มีรูปแบบการก่อเหตุเป็นกลุ่มขบวนการ ซึ่งต้องมีผู้ร่วมขบวนการคนอื่นๆ อย่างแน่นอน โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่มีพยานหลักฐานค่อนข้างชัดเจนแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานลำบากขึ้น" พล.ต.อ.สมยศ กล่าว
โดยเมื่อวานนี้ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้มีคำสั่งให้ออกหมายจับชายต้องสงสัยสวมเสื้อสีน้ำเงิน ที่ก่อเหตุระเบิดบริเวณท่าเรือสาทร แต่ยังไม่ทราบสัญชาติ ตามภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำภาพจากกล้องวงจรปิดมาประกอบกับหลักฐานต่างๆ ทั้งพยานวัตถุและพยานบุคคล หากสามารถจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยคนดังกล่าวได้ก็จะนำมาเทียบเคียงกับหลักฐานอื่นๆ ของเจ้าหน้าที่ เพื่อยืนยันความถูกต้องอีกครั้ง
ผบ.ตร.กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อว่าผู้ก่อเหตุจะเป็นชาวต่างชาติตามคำให้การของพยาน ทั้งคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้างและคนขับรถแท็กซี่ แม้พยานทั้งสองจะเป็นผู้รับส่งผู้ต้องหาไปยังที่เกิดเหตุระเบิดบริเวณแยกราชประสงค์ก็ตาม เนื่องจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในจุดขึ้นลงรถที่พยานทั้งสองให้การไว้ไม่ตรงกัน อาจเป็นเพราะในแต่ละวันวินจักยานยนต์และแท็กซี่มีการรับส่งผู้โดยสารแต่ละวันเป็นจำนวนมาก จึงอาจทำให้เกิดความคาดเคลื่อนขึ้นได้ อีกทั้งในปัจจุบันยังมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย สามารถตกแต่งใบหน้า และดัดแปลงเสียงให้เกิดความคล้ายชาวต่างชาติก็เป็นได้ ทำให้เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถระบุสัญชาติผู้ก่อเหตุได้แน่ชัด จนกว่าจะมีพยานหลักฐานบ่งบอกอย่างชัดเจน
ขณะที่ประเด็นการก่อเหตุนั้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้งเช่นกัน ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง ความขัดแย้งด้านธุรกิจ ลัทธิ ศาสนา และประเด็นต่างๆ จนกว่าจะมีพยานหลักฐานชี้ชัดไปยังประเด็นใดประเด็นหนึ่ง และไม่อยากให้รีบด่วนสรุปจนเกินไป เพราะหากผิดพลาดจะทำให้เกิดการเข้าใจผิด ผู้ถูกพลาดพิงอาจได้รับความเสียหาย และอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้