"ที่ประชุมคณะทำงานมีมติเห็นพ้องร่วมกันว่าจะไม่ขยายเวลาทำการค้าตามที่ผู้ค้ากลุ่มหนึ่งได้ยื่นหนังสืออุทธรณ์ต่อนายกรัฐมนตรี ผู้ตรวจการแผ่นดิน กระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สำนักงานเขต และร้องผ่านสื่อมวลชน ซึ่งคณะทำงานฯ เห็นว่าเป็นลักษณะการประวิงเวลา เนื่องจากมีผู้ค้ากว่า 50% ได้ย้ายออกจากจุดทำการค้าเดิมแล้ว บางรายมีร้านค้าบริเวณใกล้เคียงอยู่แล้ว ส่วนบางจุดเป็นเพียงโกดังเก็บของเท่านั้น ดังนั้นคณะทำงานร่วมจึงมีมติไม่ขยายเวลาตามที่ร้องขอ และขอยืนยันว่าเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย" พล.ต.ต.วิชัย กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับคณะทำงานฯ
ที่ปรึกษาของผู้ว่าฯ กทม.กล่าวว่า เมื่อวานนี้(20 ต.ค.) เจ้าหน้าที่สามารถรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำคลองโอ่งอ่างบริเวณสะพานภานุพันธ์ได้จำนวน 4 คูหา เนื่องจากฝนตกหนักจึงต้องหยุดดำเนินการเพราะเกรงจะมีกระแสไฟฟ้ารั่วไหลและเป็นอันตราย และช่วงเช้าที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้ตัดสะพานเหล็กที่ต่อเติมบริเวณสะพานภานุพันธ์แล้ว และดำเนินการรื้อถอนต่อเนื่องตามแผนงานที่วางไว้ อีกทั้งสำนักการระบายน้ำจะเข้าพื้นที่เพื่อดำเนินการทำความสะอาดและลอกคูคลองต่อไป ทั้งนี้เมื่อดำเนินการรื้อถอนและพัฒนาบริเวณดังกล่าวตามแผนงานแล้วจะสามารถช่วยในการระบายน้ำได้เป็นอย่างดี อีกทั้งสามารถใช้ในการสัญจรทางเรือได้ ลดปัญหามลภาวะและปัญหาขยะที่เกิดขึ้น นอกจากนี้อาจพัฒนาต่อไปเป็นแหล่งท่องเที่ยวและปอดแห่งใหม่ของคนกรุงเทพฯ ในอนาคต
ที่ปรึกษาของผู้ว่าฯ กทม.กล่าวว่า การพัฒนาพื้นที่ริมคลองโอ่งอ่างจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ประชาชนอื่นๆ ก็มีสิทธิในการใช้ประโยชน์ในที่สาธารณะร่วมกัน ทั้งนี้ตนเองเข้าใจว่าผู้ค้ามีความเดือดร้อน แต่ประชาชนคนอื่นๆ ที่เดือดร้อนมากกว่าก็มี ในส่วนของผู้มีอิทธิพลที่ก่อกระแสไม่ให้ผู้ค้าย้ายออกจากพื้นที่หรือผู้เก็บผลประโยชน์นั้น หน่วยงานการข่าวจะส่งชื่อให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ดำเนินการปราบปรามกลุ่มผู้มีอิทธิพลต่อไป
"ผมเชื่อว่าเจ้าหน้าที่จะดีหรือไม่ดีไม่ว่าจะหน่วยงานใด หากมีการปล่อยปละละเลยก็มีการเอื้อประโยชน์ทั้งนั้น แต่ผมขอให้ส่งหลักฐานมา ซึ่งผู้ว่าฯ กทม.ยืนยันว่าจะดำเนินคดีตามกฎหมาย ถ้ามีหลักฐานจะให้ออกจากราชการทันที หากไม่มีหลักฐาน ขอให้ส่งชื่อมาโดยจะดำเนินการทางปกครอง และให้ย้ายทันที" พล.ต.ต.วิชัย กล่าว