สำหรับผู้ป่วยโรคปอดบวม สูงที่สุด คือ ผู้สูงอายุ 55 ปีขึ้นไป พบร้อยละ 43 รองลงมาเด็กเล็กอายุ 1 ปีพบร้อยละ 11 ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศ เร่งรณรงค์ให้ความรู้ประชาชน วิธีการป้องกันตัวไม่ให้ป่วย หากป่วยให้รีบรักษา เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตให้น้อยลง
ด้านนายแพทย์อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคปอดบวมเกิดได้ทั้งเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ผู้ป่วยจะเริ่มต้นด้วยอาการไข้ ไอจาม มีน้ำมูก เจ็บคอ หากไม่รักษา จะเริ่มหายใจเหนื่อยหอบ หายใจเร็วและลำบาก อ่อนเพลีย ซึม อาจมีอาเจียนร่วมด้วย กลุ่มที่มีความเสี่ยงป่วยโรคนี้ ได้แก่ เด็กเล็ก น้ำหนักตัวน้อย ขาดสารอาหาร ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี โรคหัวใจ โรคถุงลมปอดอุดกั้นเรื้อรัง กลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำ และหากป่วยจะมีอาการรุนแรงกว่ากลุ่มอื่น
วิธีการป้องกันโรค ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ ขอให้ยึดหลัก กินอาหารสุกร้อน ใช้ช้อนกลาง และหมั่นล้างมือ ก่อนรับประทานอาหารและภายหลังหยิบจับสิ่งของ หรือจับราวบันได ปุ่มลิฟต์ ลูกบิดประตู ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หากเป็นไข้หวัด ให้นอนพักผ่อนให้มาก สวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่สู่คนอื่น หากอาการไม่ดีขึ้นใน 2 วัน มีไข้สูงขึ้น ไอเจ็บหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย ส่วนเด็กเล็ก หากซึมลง ไม่กินน้ำ ไม่กินนม ไข้สูง ไอ หายใจลำบาก หายใจหอบเร็ว หรือหายใจจนซี่โครงบุ๋ม ขอให้รีบพาไปพบแพทย์ทันที เพื่อพิจารณายาฆ่าเชื้อ เนื่องจากปัจจุบันมียาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422