นายอนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าว
ว่า เห็นด้วยกับความจำเป็นในการปฏิรูประบบประกันสุขภาพเพื่อความยั่งยืนทางการเงินของระบบสวัสดิการสุขภาพในอนาคต โดยหาก
ไม่มีการปฏิรูประบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือระบบ 30 บาทรักษาทุกโรคย่อมทำให้ระบบสวัสดิการด้านสุขภาพของไทยประสบปัญหา
ทางการเงินภายใน 10 ปีนี้อย่างแน่นอน ประกอบกับโครงสร้างประชากรก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้นตามลำดับ ก็จะทำให้ค่าใช้จ่าย
ทางด้านการรักษาพยาบาลจะเพิ่มสูงมากขึ้นทุกปี
สำหรับปัญหาความไม่ยั่งยืนทางการเงินระบบสวัสดิการสุขภาพสามารถแก้ไขด้วยการพัฒนาระบบการร่วมจ่ายสำหรับ
ประชาชนที่มีศักยภาพในการจ่ายร่วมได้ นอกจากนี้หากรัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันได้ในทุกระดับจะสามารถประหยัด
เงินงบประมาณได้ปีละไม่ต่ำกว่า 150,000-200,000 ล้านบาทซึ่งเป็นจำนวนมากเพียงพอที่จะสนับสนุนระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้
มีความยั่งยืน
ทั้งนี้ ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามีสัมฤทธิ์ผลที่น่าประทับใจในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สามารถทำให้ประชาชนเข้าถึง
บริการสุขภาพที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น อัตราการใช้บริการ ผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอัตราความชุกของการเข้าไม่ถึง
บริการ สุขภาพที่จำเป็น (unmet need) ของประชาชนไทยอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ลดภาระ รายจ่ายด้านการรักษาพยาบาลของครัว
เรือนโดยเฉพาะในกลุ่มคนจน ทำให้ลดช่องว่าง ความเหลื่อมล้ำของภาระรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลของครัวเรือนระหว่างกลุ่มคนยาก
จน และกลุ่มคนรวย
นอกจากนั้นระบบนี้ยังทำให้การอุดหนุนงบประมาณภาครัฐไปสู่กลุ่มคนจนเพิ่มขึ้น และอุบัติการณ์ของครัวเรือนที่ยากจนอันเนื่อง
มาจากการจ่ายค่ารักษา พยาบาลลดลงจาก 2.7% ในปี 2543 ก่อนระบบ 30 บาทรักษาทุกโรคและพัฒนามาเป็นระบบประกันสุขภาพ
ถ้วนหน้า มาเป็น 1% ในปี 2557 นับเป็นสถิติตัวเลขที่ดีกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ
สำหรับข้อเสนอทางนโยบายการปฏิรูประบบสวัสดิการสุขภาพเพื่อให้เกิดความยั่งยืนทางการเงินนั้น เห็นว่าระบบหลักประกัน
สุขภาพถ้วนหน้าในอนาคต ยังมีเป้าประสงค์หลักเช่นเดิม คือ การสร้างความเป็นธรรมใน การเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นสำหรับคน
ไทยทุกคน แต่ต้องเปลี่ยนแปลงให้มีลักษณะสำคัญ 3 ประการคือ 1) อิงระบบภาษีและไม่ต้องจ่ายเมื่อไปใช้บริการ 2) ครอบคลุมสิทธิ
ประโยชน์อย่างรอบด้านและให้ความสำคัญกับระบบบริการปฐมภูมิและบริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค และ 3) ใช้ระบบงบประมาณ
และการจ่ายค่าบริการแบบปลายปิดเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย
รวมถึงมีกลไกลสำหรับการคุ้มครองสิทธิแก่ประชาชน การให้ข้อมูล และการรับเรื่อง ร้องเรียน มีระบบการชดเชยกรณีได้
รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาล รวมถึง การกำหนดให้โรงพยาบาลต้องมีระบบพัฒนาคุณภาพบริการ (hospital
accreditation) การใช้ระบบปลายปิดจะเป็นหลักประกันไม่ให้เกิดภาวะล้มละลายของระบบโรงพยาบาลของรัฐ ต้องมีระบบร่วม
จ่ายสำหรับผู้ที่มีศักยภาพในการจ่ายต้องพัฒนาบทบาทการซื้อบริการและส่งเสริมให้มีการแข่งขันระหว่างหน่วย บริการในพื้นที่ และ แยก
บทบาทระหว่างองค์กรซื้อและองค์กรให้บริการ พัฒนาศักยภาพของระบบบริการสาธารณสุขระดับอำเภอ เพื่อให้สามารถให้ บริการ
สุขภาพที่จำเป็นได้อย่างรอบด้านมากยิ่งขึ้น
รวมถึงพัฒนาประสิทธิภาพของระบบการส่งต่อผู้ป่วยพัฒนาศักยภาพในการใช้ข้อมูลเพื่อติดตามกำกับคุณภาพบริการของหน่วย
บริการต่างๆ โดยควรมีตัวชี้วัดและมาตรวัดเปรียบเทียบ เพื่อประเมิน ผลกระทบของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าต่อผลลัพธ์ด้าน
สุขภาพ การเข้าถึงเทคโนโลยี และบริการป้องกันโรคปฐมภูมิและทุติยภูมิในกลุ่มโรค เรื้อรังที่สำคัญ ลดความไม่เป็นธรรมระหว่างกอง
ทุนต่างๆปรับให้แต่ละกองทุนมีลักษณะใกล้เคียงกันหรือไม่ต่างกัน เช่น ชุดสิทธิประโยชน์ ระบบข้อมูลสารสนเทศ และวิธีการจ่ายค่า
บริการ ควรเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการให้บริการเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันต้องมีระบบการกำกับมาตรฐานเดียวกันทั้ง
สำหรับสถานพยาบาล ภาครัฐและเอกชน การปล่อยให้มีสองระบบและมีมาตรฐานในการกำกับที่แตกต่างกัน อาจไม่เป็นผลดีต่อการ
พัฒนานโยบายและระบบสาธารณสุขในระยะยาว เป็นต้น