ขณะที่สถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 1 ม.ค.59 ซึ่งเป็นวันที่สี่ของการรณรงค์ฯ เกิดอุบัติเหตุ 647 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 75 ราย ผู้บาดเจ็บ 657 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมาสุรา ร้อยละ 33.08 ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 15.90, ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 82.34 ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ 60.12 บนถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 38.64 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 30.45 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 00.01-04.00 น. ร้อยละ 31.38 ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยแรงงาน ร้อยละ 55.94 ทั้งนี้ได้จัดตั้งจุดตรวจหลัก 2,103 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 65,642 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 646,978 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดีรวม 106,661 ราย มีความผิดฐานไม่สวมหมวกนิรภัย 29,987 ราย ไม่มีใบขับขี่ 29,959 ราย โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ 29 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ ปทุมธานี 5 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ นครศรีธรรมราช 35 คน
สำหรับจังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต(ตายเป็นศูนย์) มี 8 จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธุ์ ตรัง พังงา แพร่ ระนอง สมุทรปราการ สิงห์บุรี และสุโขทัย จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ 91 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ นครราชสีมา เชียงราย สงขลา และปทุมธานี จังหวัดละ 9 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ 91 คน
นพ.โสภณ กล่าวว่า ในวันนี้ประชาชนเริ่มทยอยเดินทางกลับ ขณะที่บางส่วนยังคงเฉลิมฉลองอยู่ในพื้นที่ ศปถ.จึงได้สั่งกำชับให้จังหวัดเข้มข้นดูแลทั้งเส้นทางสายหลักและสายรองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากข้อมูลสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2559 พบว่า ดื่มแล้วขับเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงกว่าร้อยละ 33 และเวลา 00.01-04.00 น. เป็นช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด จึงขอเน้นย้ำจุดตรวจ จุดสกัดตามชุมชน หมู่บ้านเข้มงวดในการเรียกตรวจ โดยเฉพาะช่วงกลางคืนหลังเวลา 23.00 น.ไปแล้ว เพื่อตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์และประเมินความพร้อมในการขับรถของผู้ขับขี่ อีกทั้งจากสถิติอุบัติเหตุพบว่า กว่าร้อยละ 60 เกิดบนเส้นทางตรง โดยมีสาเหตุจากการขับรถเร็ว การตัดหน้ากระชั้นชิด การใช้โทรศัพท์มือถือ
โดยขอให้จังหวัดปรับแผนการดูแลความปลอดภัยในการเดินทางกลับของประชาชน พิจารณาปรับย้ายจุดตรวจให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ปริมาณการจราจรและช่วงเวลาในการเดินทาง พร้อมเพิ่มความถี่ในการเรียกตรวจคุมเข้มการปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด เน้นย้ำจุดตรวจ จุดสกัดตามชุมชน หมู่บ้านกวดขันการดื่มแล้วขับ ขณะที่เส้นทางสายหลักให้เข้มข้นการตรวจจับการใช้ความเร็ว และเรียกตรวจความพร้อมของผู้ขับขี่ โดยเฉพาะรถโดยสารสาธารณะ เพื่อป้องกันการหลับในและความอ่อนล้าที่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้
"ขอให้จังหวัดเข้มข้นการตรวจจับการใช้ความเร็ว ปรับแผนเพิ่มจำนวนจุดตรวจบนเส้นทางสายตรงที่มีระยะทางยาว เพิ่มความถี่ในการตรวจจับ เรียกตรวจเพื่อประเมินความพร้อมของผู้ขับขี่ โดยเฉพาะพนักงานขับรถโดยสารสาธารณะ พร้อมตักเตือนให้ผู้ขับขี่ใช้ความระมัดระวังในการเดินทาง นอกจากนี้ให้พิจารณาปรับย้ายจุดตรวจ จุดบริการ และปรับแผนการดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ ปริมาณการจราจร และช่วงเวลาในการเดินทางของประชาชน" นพ.โสภณ กล่าว
ด้านนายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) ในฐานะเลขานุการ ศปถ. กล่าวว่า ในวันนี้ประชาชนบางส่วนเริ่มทยอยเดินทางกลับ ซึ่งความอ่อนล้าจากการเฉลิมฉลองและการขับรถระยะทางไกล อาจเป็นสาเหตุที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ นายกรัฐมนตรีห่วงใยความปลอดภัยของประชาชน จึงได้สั่งการให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนกำชับจังหวัดประสานการปฏิบัติงานของจุดตรวจที่อยู่บริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัด เพื่อส่งต่อการดูแลความปลอดภัยของประชาชน โดยกวดขันความพร้อมของผู้ขับรถ โดยเฉพาะพนักงานขับรถโดยสารสาธารณะทั้งประจำทาง ไม่ประจำทาง รถตู้โดยสารเป็นพิเศษ พร้อมยึดมาตรการบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด ควบคู่กับการผลักดันกลไกมาตรการทางสังคมและชุมชนให้มีความเข้มแข็ง อีกทั้งปรับแผนการปฏิบัติการสร้างความปลอดภัย โดยเพิ่มความเข้มข้นในการดูแลเส้นทางขากลับที่มุ่งสู่จังหวัดใหญ่ และกรุงเทพฯ จัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก จัดระบบการจราจรให้สอดคล้องกับปริมาณรถในแต่ละเส้นทาง
"ขอฝากเตือนผู้ขับขี่ไม่ขับรถเร็ว ดื่มไม่ขับ ไม่ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ หากมีอาการเหนื่อยล้าหรือง่วงนอน ให้จอดพักรถตามจุดบริการของหน่วยงานภาครัฐ และสถานีบริการน้ำมัน อีกทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการขับรถผ่านเส้นทางที่มีร้านค้าริมทาง ซึ่งอาจมีรถจอดกีดขวางช่องทางจราจร ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ เพื่อให้เทศกาลปีใหม่ 2559 เป็นเทศกาลที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและความปลอดภัย" นายฉัตรชัย กล่าว