เมื่อพิจารณาเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน พบว่า สิงคโปร์ที่อยู่ในอันดับที่ 15 มาเลเซีย (อันดับที่ 28) เวียตนาม (อันดับที่32) ฟิลิปปินส์ (อันดับที่ 33) และ อินโดนีเซีย (อันดับที่ 42) อีกด้วย
“นับตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ มีเป้าหมายให้ประเทศไทยมีความสงบ ลดความขัดแย้งและความเหลื่อมล้ำในสังคม ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น และมุ่งปฏิรูปประเทศไปสู่การพัฒนาในทุกมิติอย่างยั่งยืน จนต่างประเทศให้ความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของประเทศมากขึ้น ส่งผลถึงภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่ดีตามมา ปรากฏดังผลการจัดอันดับประเทศที่ดีที่สุดในโลก"
เมื่อพิจารณารายละเอียดของคะแนนที่แบ่งออกเป็นหมวดย่อย ๆบางหมวดพบว่า หมวดการขับเคลื่อน และ หมวดการผจญภัย (อันดับที่ 4) หมวดมรดกทางวัฒนธรรม (อันดับที่ 8) หมวดความเปิดกว้างสำหรับการทำธุรกิจ (อันดับที่ 10) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คะแนนในส่วนของทัศนียภาพที่ได้สูงถึง 9 คะแนน เป็นประเทศที่มีอาหารยอดเยี่ยม ในระดับ 8.4 คะแนน และได้คะแนนความเป็นมิตรเท่ากับ 8.1 และในหมวดการผจญภัยนั้นประเทศไทยได้รับคะแนนเฉลี่ย 7.6 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) ถือเป็นประเทศที่เหมาะสมแก่การท่องเที่ยวมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้แล้วประเทศไทยยังถูกจัดให้เป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลกสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจ และเป็นประเทศที่เหมาะแก่การลงทุนมากที่สุดเป็นอันดับ 6 อีกด้วย ซึ่งข้อมูลในการจัดอันดับในครั้งนี้เป็นกระจกให้รัฐบาลได้ทราบถึงจุดแข็งจุดอ่อนของประเทศที่จะนำไปใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาประเทศในอีกทางหนึ่ง
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรีทราบเรื่องนี้แล้ว ท่านยินดีและขอฝากความขอบคุณถึงพี่น้องคนไทยทุกภาคส่วนที่มีส่วนช่วยกันดูแลความสงบ รักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยจนเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ
"อย่างไรก็ตาม การถูกจัดอันดับว่าไทยเป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลกในลำดับต้นของโลก ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะหยุดพัฒนาตนเองไว้เพียงเท่านี้ หากแต่หมายถึงกำลังใจที่จะช่วยให้พวกเราเดินหน้าพัฒนาประเทศให้ดียิ่งขึ้น และไม่ย้อนกลับไปอยู่ในวังวนแห่งความขัดแย้งที่ฉุดรั้งความก้าวหน้าของประเทศไทยอีกต่อไป"โฆษกรัฐบาล กล่าว