นพ.อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า อาการผู้ป่วยยืนยันโรคเมอร์สที่นอนพักรักษาตัวที่สถาบันบำราศนราดูร ในวันนี้อาการยังทรงตัว ไม่มีไข้ ไอเล็กน้อย ให้ออกซิเจนเช่นเดิม รับประทานอาหารได้ ลุกเดินเข้าห้องน้ำได้ ยังพักรักษาตัวในห้องแยกโรคเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด โดยเมื่อเย็นวานนี้ (25 ม.ค.) ทีมสวบสวนโรคได้สอบสวนพบผู้สัมผัสเสี่ยงสูงเพิ่มอีก 1 ราย นำมาสังเกตอาการเพิ่มเติมอีกที่สถาบันบำราศฯ เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
สำหรับการสอบสวนและติดตามผู้สัมผัสโรคเสี่ยงสูง ประกอบด้วย ผู้โดยสาร 22 คน (เป็นคนไทย 4 คน ชาวต่างชาติ 18 คน) คนขับแท็กซี่ 2 คน พนักงานโรงแรม 4 คน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล 11 คน ญาติ 1 คน ติดตามตัวได้ 33 คน ที่เหลืออยู่ระหว่างการติดตามโดยกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสถานฑูตและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นๆ คาดว่าจะนำตัวผู้สัมผัสโรคเสี่ยงสูงที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยทุกคน รับไว้สังเกตอาการที่สถานที่เตรียมไว้รองรับ ขณะนี้อยู่ที่สถาบันบำราศนราดูร 9 คน เป็นญาติ 1 คน คนขับแท็กซี่ 2 คน ผู้ร่วมเดินทางคนไทย 1 คน และชาวโอมาน 5 คน ทุกคนสบายดี ส่วนผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงต่ำ ได้รายชื่อและดำเนินการติดตาม แนะนำให้แยกตัวเอง ลดการสังคมกับผู้อื่น และติดตามกับเจ้าหน้าที่ทุกวันจนครบ 14 วัน
สรุปผลการให้บริการสายด่วน 1422 ปรึกษาประชาชนเรื่องโรคเมอร์ส ในรอบ 24 ชั่วโมง วันที่ 25 มกราคม 2559 มีผู้โทรสอบถามสายด่วน กรมควบคุมโรค รวม 41 ราย เป็นเรื่องโรคเมอร์ส 11 สาย คำถามที่ถามมากที่สุด คือ พื้นที่ที่มีการระบาดของโรคเมอร์ส พื้นที่และขอบเขตการเฝ้าระวังโรคเมอร์ส อาการผู้ป่วยโรคเมอร์ส และความรู้เรื่องโรคเมอร์ส
สำหรับข้อแนะนำประจำวันในการป้องกันตนเองจากโรคเมอร์สนั้น 1.หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจหรือผู้ที่มีอาการไอหรือจาม 2.ปฏิบัติตามสุขอนามัย กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำสบู่ 3.ถ้ามีอาการไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสคลุกคลีกับบุคคลอื่น เมื่อไอหรือจามควรใช้กระดาษชำระปิดปากและจมูกทุกครั้ง และทิ้งกระดาษชำระที่ใช้แล้วลงในถังขยะที่ปิดมิดชิดและล้างมือให้สะอาด สวมหน้ากากอนามัย และรีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ พร้อมแจ้งความเสี่ยงที่อาจสัมผัสโรค เช่น เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดของโรค หรือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่สงสัยโรคเมอร์ส
ทั้งนี้ สถานการณ์ทั่วโลก ข้อมูล ณ วันที่ 26 มกราคม 2559 องค์การอนามัยโลก พบผู้ป่วยทั้งสิ้น 1,626 ราย เสียชีวิต 586 ราย ใน 26 ประเทศ