ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ร่วมกับหน่วยทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง โดยสูบน้ำจากแหล่งน้ำดิบส่งเข้าพื้นที่การเกษตร รวม 1,602,572 ลูกบาศก์เมตร สูบน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อส่งน้ำเข้าแหล่งน้ำดิบสนับสนุนการผลิตน้ำประปา จำนวน 4,920,365,000 ลิตร แจกจ่ายน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภค รวม 107,860,000 ลิตร และผลิตน้ำดื่มสะอาดแจกจ่ายแก่ประชาชน รวม 1,104,000 ลิตร อีกทั้งได้ประสานจังหวัด จัดส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจจัดทำบัญชีแหล่งน้ำ ปริมาณน้ำที่ใช้การได้ ความต้องการใช้น้ำของประชาชน เพื่อนำข้อมูลมาวางแผนการจัดสรรน้ำให้เกิดความสมดุลและสอดคล้องกับสถานการณ์น้ำในแต่ละพื้นที่ รวมถึงขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง โดยใช้กลไก “ประชารัฐ" ในการสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาภัยแล้ง จัดทำประชาคมหมู่บ้านเพื่อกำหนดกติกาการใช้น้ำร่วมกันให้มีความเท่าเทียมและเป็นธรรม ตลอดจนจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังบริเวณจุดเสี่ยงที่มักมีการลักลอบสูบน้ำ
หากกรณีเกิดปัญหาการแย่งน้ำ ให้เน้นการเจรจาและทำความตกลงร่วมกัน เพื่อป้องกันการระดมมวลชนสร้างสถานการณ์ซ้ำเติม ปัญหาภัยแล้งให้ขยายวงกว้างมากขึ้น สำหรับการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้เน้นจัดสรรน้ำในพื้นที่ประสบภัยแล้งอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับน้ำอุปโภคบริโภคเป็นลำดับแรก และใช้ประโยชน์จากน้ำทุกแหล่งให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมประสานจัดทำฝนหลวงเมื่อสภาพอากาศเอื้ออำนวย ดำเนินการขุดเจาะบ่อบาดาล เป่าล้างบ่อบาดาลเดิม และติดตั้งเครื่องสูบน้ำระยะไกล เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำในแหล่งน้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปา
ทั้งนี้ ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนร่วมกันใช้น้ำอย่างประหยัดเตรียมสำรองน้ำไว้อุปโภคบริโภค เกษตรกรควรวางแผนการเพาะปลูกพืชให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำและแผนการจัดสรรน้ำในพื้นที่จะช่วยบรรเทาปัญหาขาดแคลนน้ำ ส่งผลให้ประชาชนมีน้ำอุปโภคบริโภคตลอดช่วงฤดูแล้ง รวมถึงประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตภัยแล้งในครั้งนี้ไปได้