พลตรีสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองยื่นเรื่องต่อ สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้ตรวจสอบและยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้ที่เห็นต่างจากรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า เป้าหมายของรัฐบาลและคสช.คือ การรักษาความสงบเรียบร้อยในช่วงเปลี่ยนผ่านประเทศ โดยยืนยันว่านับตั้งแต่เข้ามาบริหารบ้านเมือง ไม่เคยมีเหตุการณ์จับกุม ซ้อม ทรมานประชาชนหรือกลุ่มผู้เห็นต่าง ตามที่เครือข่ายนักวิชาการฯนำมากล่าวอ้าง
"ผู้กระทำผิดกฎหมายทุกคน จะถูกควบคุมตัวและปฏิบัติตามระเบียบกฎหมาย แม้แต่คนที่กระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่เคยถูกกระทำรุนแรงใดๆ ทั้งสิ้น อยากให้เครือข่ายอาจารย์พิสูจน์ให้เห็นด้วยหลักฐาน ไม่ควรเชื่อข้อมูลจากการฟังตามกันมา หรืออ่านเพียงข้อมูลจาก social media โดยขาดการตรวจทาน ผิดวิสัยนักวิชาการหรือปัญญาชนที่มีคุณภาพ"พลตรีสรรเสริญ กล่าว
พลตรีสรรเสริญ กล่าวอีกว่า การเรียกร้องให้สหประชาชาติ (ยูเอ็น) เข้ามาก้าวก่ายกิจการภายในประเทศไทยของเครือข่ายนักวิชาการฯนั้น เปรียบเหมือนการชักศึกเข้าบ้าน โดยนำประเด็นต่างกรรมต่างวาระมาผสมปนเปกัน เช่น การนำคำสั่ง คสช.ที่ 13/2559 มาเขียนรวมกับ พ.ร.บ.การลงประชามติ ว่า เป็นการใช้กฎหมายควบคุมผู้เห็นต่าง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน
โดยคำสั่ง 13/2559 เป็นกฎหมายเพื่อกวาดล้างมาเฟีย เพื่อปกป้องสุจริตชน ขณะที่ พ.ร.บ.ประชามติ มีขึ้นเพื่อป้องกันการชี้นำ การบิดเบือนเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจบนพื้นฐานข้อเท็จจริง มิใช่ข้อมูลที่แต่งแต้มสีสัน
การออกมาเรียกร้อง ด้วยข้อมูลที่ปราศจากความจริง และอ้างอิงอย่างมีนัยยะ ผูกรวมเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกัน และละเลยการอธิบายที่มาที่ไป เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด ถือเป็นพฤติกรรมที่น่าละอาย
"รัฐบาลและ คสช. ไม่กังวลในการทำความเข้าใจกับองค์กรระหว่างประเทศ เนื่องจากท่านนายกฯและกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้สื่อสารอธิบายความก้าวหน้าของแนวทางการปฏิรูปประเทศมาโดยตลอด และหากองค์กรใดต้องการข้อมูลเกี่ยวกับประเทศไทย เชื่อว่าสามารถติดต่อได้ทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะกต. ซึ่งมีความเหมาะสมมากกว่า การรับฟังข้อมูลจากกลุ่มคนหรือหน่วยงานอื่นที่อาจมีข้อมูลไม่ถูกต้องหรือบิดเบือน"พลตรีสรรเสริญ กล่าว