พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการขาดสารไอโอดีน เพราะมีผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาประเทศ เนื่องจากสารไอโอดีนมีความสัมพันธ์กับสติปัญญาของมนุษย์ทุกเพศ ทุกวัย โดยในปี 58 ได้ควบคุมป้องกันการขาดสารไอโอดีนในพื้นที่เสี่ยง 44 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ห่างไกลทะเล เช่น ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน ได้สำเร็จ 42,665 ชุมชน/หมู่บ้าน จากทั้งหมด 52,531 ชุมชน/หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 81.2 โดยตั้งเป้าหมายว่าในปี 60 จะดำเนินการให้สำเร็จครบทุกชุมชน/หมู่บ้าน
“มาตรการหลัก 7 ข้อ ที่รัฐบาลดำเนินการคือ ส่งเสริมให้ครัวเรือนบริโภคเกลือเสริมไอโอดีนถ้วนหน้า จ่ายยาเม็ดเสริมไอโอดีนให้หญิงตั้งครรภ์ทุกราย และหญิงให้นมบุตรในระยะ 6 เดือนหลังคลอด ตรวจระดับไอโอดีนของหญิงตั้งครรภ์ เด็กปฐมวัย 3 – 5 ปี และผู้สูงอายุ สุ่มตรวจคุณภาพเกลือเสริมไอโอดีนตามแหล่งผลิตและจำหน่าย พัฒนาศักยภาพชมรมผู้ประกอบการเกลือเสริมไอโอดีน พัฒนาชุมชน/หมู่บ้านไอโอดีน และรณรงค์ประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในวันนี้ 25 มิ.ย. ซึ่งเป็นวันไอโอดีนแห่งชาติ"
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการดูแลคุณภาพชีวิตของแม่และเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนถึง 3 ขวบปีแรก ซึ่งเป็นช่วงที่สมองเจริญเติบโตมากที่สุด หากได้รับการส่งเสริมให้พัฒนาอย่างเต็มที่ ย่อมเกิดผลดีต่อพัฒนาการในทุกช่วงวัยของชีวิต จึงถือว่าคุ้มค่าต่อการสร้างทรัพยากรบุคคลของชาติที่มีคุณภาพสูง
ปัญหาการขาดสารไอโอดีนเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ เพราะทำให้เกิดโรคคอพอก ตัวเตี้ย แคระแกร็น เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เชาวน์ปัญญาของคนลดลง นอกจากนี้ยังพบว่า ร้อยละ 20 ของหญิงไทยที่ตั้งครรภ์มีภาวะขาดสารไอโอดีน คือได้รับน้อยกว่า 250 ไมโครกรัมต่อวัน ซึ่งส่งผลให้ทารกมีอาการปัญญาอ่อน พิการ หรือแท้งในที่สุด