นายศุภชัย สมเจริญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งโต๊ะแถลงภายหลังการปิดหีบลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง โดยแสดงความขอบคุณผู้มีสิทธิออกเสียงทุกคนที่พร้อมใจกันออกไปใช้สิทธิออกเสียง ณ หน่วยออกเสียงปกติจำนวน 94,259 หน่วย และที่ออกเสียงนอกเขตจังหวัดจำนวน 156 แห่ง ซึ่งการออกเสียงลงประชามติตั้งแต่เวลา 08.00 - 16.00 น.เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์ความวุ่นวาย มีเพียงเหตุฉีกบัตรออกเสียงประชามติเกิดขึ้นบ้าง แต่ส่วนใหญ่กระทำไปด้วยความเข้าใจผิด โดยมีเพียงผู้ที่จงใจฉีกบัตรเพียง 1-2 คนเท่านั้น นอกนั้นมีสาเหตุมาจากผู้ใช้สิทธิมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน คิดว่าการออกเสียงมี 2 ประเด็น ต้องแยกบัตรแต่ละประเด็นออกจากกัน
"เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ได้มีการชี้แจงทำความเข้าใจผ่านสถานีโทรทัศน์และสถานีวิทยุทันที อย่างไรก็ตาม การกระทำที่เป็นความผิด ก็ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งในส่วนที่เกิดจากความเข้าใจผิด กกต.จะได้นำไปปรับปรุงรูปแบบของบัตรออกเสียงประชามติ และบัตรเลือกตั้ง เพื่อป้องกันมิให้เกิดขึ้นอีก เพื่อให้การมาใช้สิทธิเป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างแท้จริง" ประธาน กกต.กล่าว
พร้อมระบุว่า ในการประกาศผลการออกเสียงประชามตินั้น เมื่อพ้นระยะเวลาการยื่นคำร้องคัดค้าน หรือภายใน 24 ชม.นับแต่การลงคะแนนออกเสียงสิ้นสุดลง คือเวลา 16.00 น. ของวันที่ 8 ส.ค.59 และ กกต.ได้รับรายงานผลการนับคะแนนออกเสียงจากทุกหน่วยออกเสียงทั้งประเทศแล้ว หากไม่มีการร้องคัดค้าน กกต.จะประกาศผลการออกเสียงและจำนวนผู้มาใช้สิทธิออกเสียง ก่อนที่จะรายงานผลให้นายกรัฐมนตรีรับทราบโดยเร็ว
"กกต.ทราบดีว่าทุกภาคส่วนต่างต้องการทราบว่าผลการออกเสียง ซึ่งหมายถึงอนาคตของประเทศจะก้าวต่อไปในทิศทางใด กกต.และสำนักงาน กกต.จึงได้จัดให้มีการรายงานผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการขึ้น ซึ่งคาดว่าจะได้รับรายงาน และสามารถรายงานผลคะแนนประมาณ 95% ให้ทราบได้ ภายในเวลา 21.00 น. ของวันนี้" นายศุภชัย กล่าว
ด้านนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารงานการเลือกตั้ง เปิดเผยว่า กกต.เตรียมนัดประชุมเพื่อรับรองผลการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในวันพุธที่ 10 ส.ค.59 โดยเชื่อว่ามีประชาชนออกมาใช้สิทธิลงคะแนนประชามติมากกว่า 57% เมื่อเทียบปี 2550 พร้อมคาดว่า กกต.จะสามารถประกาศผลการออกเสียงอย่างไม่เป็นทางการภายหลังผ่านการนับคะแนนไปแล้ว 95% ได้ภายในเวลา 21.00 น.
ส่วนกรณีผู้ที่จงใจฉีกบัตรออกเสียงประชามติ 1 คน และผู้ที่ช่วยบันทึกภาพอีก 2 คนนั้น ถือว่ามีความผิดทั้งหมด ซึ่ง กกต.ได้สรุปยอดการฉีกบัตรทั้งหมดใน 26 จังหวัด รวม 44 หน่วย พบมากสุดอยู่ที่กรุงเทพฯ 8 หน่วย ส่วนใหญ่เป็นความเข้าใจผิดว่าต้องฉีกบัตรออกเป็น 2 ส่วน มีเพียงหน่วยเดียวที่เขตบางนาที่มีเจตนาฉีกบัตรด้วยการประกาศต่อสาธารณชน