นางสมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยมีการสั่งซื้อของผ่านทางออนไลน์มากขึ้น โดยประมาณ 64.9% ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั้งหมดเคยซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และมีแนวโน้มขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ที่มา:สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)) ซึ่งส่วนใหญ่ใช้บริการไปรษณีย์ในการจัดส่งสินค้าให้ผู้สั่งซื้อปลายทาง ขณะเดียวกันก็พบการร้องเรียนกรณีมิจฉาชีพหลอกลวงผู้บริโภคทางอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นด้วย
ดังนั้น ไปรษณีย์ไทยจึงอยากฝากเตือนไปยังผู้ใช้บริการที่สั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ขอให้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือก่อนการตัดสินใจทำธุรกรรม โดยสามารถตรวจสอบได้ดังต่อไปนี้ ตรวจสอบชื่อร้านค้าและประวัติการซื้อขาย ผู้บริโภคควรขอชื่อ และหลักฐานเพื่อยืนยันตัวตน เช่น บัตรประจำตัวประชาชน ชื่อบัญชีเงินฝากที่ต้องตรงกับชื่อในบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อนำมาตรวจสอบประวัติของผู้ขายได้ ตรวจสอบช่องทางการขาย พิจารณาเลือกร้านค้าที่ลงทะเบียนขายสินค้ากับเว็บไซต์ที่มีการเก็บข้อมูลประวัติของผู้ซื้อ-ผู้ขายไว้ เพราะหากเกิดกรณีฉ้อโกง จะสามารถติดตามตัวได้ รวมไปถึงควรค้นหาดูฟีดแบ็ก (Feed Back) จากลูกค้าที่เคยซื้อของกับร้านค้าดังกล่าวว่าเป็นอย่างไร ตรวจสอบแหล่งที่มาหรืออ้างอิง เลือกซื้อสินค้าที่ระบุสถานที่ผลิต จัดจำหน่าย หรือนำเข้าของสินค้าอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันสินค้าลอกเลียนแบบหรือสินค้าไม่ได้มาตรฐาน หรือหากเป็นสินค้ามือสองต้องตรวจดูตำหนิอย่างละเอียด หลีกเลี่ยงการสั่งซื้อสินค้าราคาสูง เพราะเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงได้ แต่หากจำเป็นต้องสั่งซื้อก็ควรเลือกใช้บริการพัสดุเก็บเงินปลายทางของไปรษณีย์ไทย เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ซื้อจะได้รับของตรงตามที่สั่งจริง และสอบถามการรับประกันสินค้าอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ชัดถึงรายละเอียดการรับประกันสิ่งของที่สั่งซื้อ เพราะหากเกิดปัญหากับตัวสินค้าไม่ว่าจะเป็นการส่งผิดพลาด สินค้าไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้สินค้าตามที่สั่ง ผู้ขายต้องแสดงความรับผิดชอบในการให้เปลี่ยนหรือคืนสินค้าได้
นางสมร กล่าวว่า ไปรษณีย์ไทยยังคงมุ่งมั่นให้บริการตามมาตรฐานที่เป็นเลิศ มีการควบคุมตรวจสอบระบบปฏิบัติการอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งมีมาตรการในการรับฝากส่งสิ่งของที่รัดกุม อาทิ การแสดงบัตรประชาชนทุกครั้งก่อนการฝากส่งพัสดุไปรษณีย์ การเปิดจุดบริการหุ้มห่อสิ่งของ การมีจุดตรวจสอบสภาพการหุ้มห่อ