นายทองเปลว กองจันทร์ รองอธิบดีกรมชลประทาน ชี้แจงกรณีที่มีข่าวลือแจ้งเตือนกันในสื่อโซเซียลมีเดียว่า ปริมาณน้ำที่ปล่อยจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จะทำให้แม่น้ำเจ้าพระยาสูงขึ้น และเอ่อเข้าท่วมพื้นที่ในคันกั้นน้ำในเขตอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นั้น ว่า ในกรณีของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่า ร่องมรสุมจะพาดผ่านบริเวณภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลางตอนบน ทำให้มีฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี มากกว่าวันละ 60 ล้านลูกบาศก์เมตร และใกล้จะเต็มอ่างฯแล้ว จึงต้องปรับการระบายน้ำออกจากเขื่อนเพิ่ม เป็นวันละ 55 - 60 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างน้ำที่ไหลเข้าอ่างฯและน้ำที่ระบายออกจากอ่างฯ ทำให้มีพื้นที่ว่างที่จะรองรับปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างฯได้อีก และเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดน้ำล้นอ่างฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบพื้นที่ท้ายเขื่อนเป็นบริเวณกว้างได้
อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำที่ระบายจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์จะไหลลงสู่เขื่อนพระรามหก ซึ่งกรมชลประทานจะควบคุมปริมาณน้ำให้ไหลผ่านเขื่อนพระรามหก ในเกณฑ์ 600 – 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ปัจจุบัน (9 ต.ค.59) มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 607 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งปริมาณน้ำนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อนพระรามหก ในเขตอำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก่อนที่จะไหลไปรวมกับแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ปริมาณน้ำที่อำเภอบางไทร อยู่ในเกณฑ์ประมาณ 2,076 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณน้ำที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ และจะไม่ล้นคันกั้นน้ำเข้าไปส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชน หรือพื้นที่เศรษฐกิจในเขตอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีอย่างแน่นอน