นายวิวัฒน์ ชาญเชิงพานิช รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในฐานะผู้แทน กฟผ.และผู้แทนภาคการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยเข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 22 (COP22) ณ เมืองมาร์ราเกซ ประเทศโมร็อกโก เปิดเผยเกี่ยวกับการลดก๊าซเรือนกระจกของ กฟผ. ว่า กฟผ. เป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงพลังงานในภาคการผลิตไฟฟ้า ได้มีการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามความตกลงปารีสในการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยที่ได้มาจากการประชุม COP21 เมื่อปีที่แล้ว โดยประเทศไทยได้มีการปรับแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ แผน PDP 2015 (พ.ศ. 2558-2579) ซึ่งจะมีการปรับสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตไฟฟ้าลงในช่วงปลายแผน และจะมีการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานทดแทนมากขึ้น รวมถึงสนับสนุนในเรื่องการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งจะส่งผลให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตามเป้าหมาย
ในช่วงแรก กฟผ.ได้ดำเนินการตาม NAMA (Nationally Appropriate Mitigation Actions) หรือ แผนการลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศโดยสมัครใจ ซึ่งประเทศไทยได้ส่งแผนไปว่าจะลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 7–20 จากระดับการปล่อยสภาวะเศรษฐกิจปกติ (Business as Usual : BAU) ภายในปี 2563 ในภาคพลังงานและภาคขนส่ง แต่จากการประเมินศักยภาพการลดก๊าซเรือนกระจกของ กฟผ.จะรับผิดชอบในการลดก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี 2563 เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย NAMA และในปัจจุบัน กฟผ. สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้แล้วกว่า 3 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จากมาตรการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้า หลังจากนั้นประเทศไทยจะลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตาม INDC (Intended Nationally Determined Contribution) หรือ เป้าหมายการดำเนินงานของประเทศในระดับมุ่งมั่น ซึ่งมีเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 20-25 ภายในปี 2573 โดยในส่วนของ กฟผ. มีเป้าหมายจะลดก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ 12 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ในประเด็นที่ทั่วโลกได้กล่าวถึงการเป็นสังคมคาร์บอนต่ำในปี 2593 ซึ่งจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงถึงร้อยละ 95 นั้น ในส่วนของประเทศไทย รวมถึง กฟผ. ได้ดำเนินการตามศักยภาพและบริบทของสังคมอย่างเต็มที่ โดย กฟผ. ติดตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการผลิตพลังงานไฟฟ้าที่จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากขึ้น โดยเฉพาะพลังงานทดแทน ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีพลังงานทดแทนยังอยู่ในช่วงของการพัฒนาเพื่อเพิ่มค่าความพึ่งพาได้ให้สูงขึ้น จึงยังต้องมีการผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้า เพื่อให้ประชาชนมีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอและราคาค่าไฟไม่สูงเกินไป ทั้งนี้ ในอนาคตเมื่อเทคโนโลยีพลังงานทดแทนก้าวหน้าจนสามารถพึ่งพาได้มากขึ้น มีราคาที่เหมาะสม ประเทศไทยก็จะสามารถเพิ่มสัดส่วนของพลังงานทดแทนและลดสัดส่วนการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ อย่างไรก็ตาม การผลิตไฟฟ้าโดยเชื้อเพลิงฟอสซิลของ กฟผ. ได้ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพสูง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตไฟฟ้าให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตไฟฟ้าลง อีกด้วย