นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง พรป.พรรคการเมือง ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ว่า ส่วนตัวไม่รู้สึกวิตกกังวล หรือตอบทกำหนดโทษที่บัญญัติไว้ในหมวด 10 ของกฎหมายฉบับนี้ ที่มีเนื้อหาครอบคลุมถึง 32 มาตราด้วยบทกำหนดโทษที่รุนแรงจนไปจนถึงประหารชีวิต เพราะไม่คิดว่าจะทำความผิดอยู่แล้ว แต่ยังมีบทบัญญัติหลายมาตรา ก็มีความสุ่มเสี่ยงที่พรรคการเมืองจะทำผิดโดยไม่เจตนา หรืออาจถูกกลั่นแกล้งจากฝ่ายตรงข้ามเช่นในมาตรา 22 ระบุว่า “เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสมาชิกให้กรรมการบริหารพรรคมีหน้าที่ควบคุม และกำกับดูแลไม่ให้สมาชิก หรือผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองกระทำการในลักษณะที่อาจทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริต หรือเที่ยงธรรม หรืออาจเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใดไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ถ้ากรรมการบริหารควบคุมสมาชิกไม่ได้จนทำความผิดกรรมการบริหารต้องพ้นจากตำแหน่ง และห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรค 20 ปี และอาจถูกลงโทษจำคุกอีก 10 ปีก็ได้
ถ้าพรรคใดมีสมาชิกล้านกว่าคนกรรมการบริหารพรรคจะควบคุมสมาชิกอย่างไร หรืออาจถูกฝ่ายตรงข้ามแฝงตัวเข้ามาเป็นสมาชิกเพื่อทำผิดจนเป็นเหตุให้กรรมการบริหารพรรคต้องออกจากตำแหน่ง และถูกลงโทษจำคุกด้วย เรื่องนี้จึงอยากฝากให้ กรธ. ช่วยดูปัญหาอุปสรรคของการปฏิบัติตามกฎหมายตามความเป็นจริงด้วยไม่เช่นนั้นก็อาจมีการเลี่ยงกฎหมายตั้งแต่เริ่มต้นด้วยการหานอมินีมาเป็นกรรมการบริหารพรรคแทนผู้นำพรรคตัวจริง ส่งผลทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพรรคการเมืองให้ดีขึ้นตามจุดมุ่งหมายของ กรธ. แต่กลับสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาอีก ทั้งนี้เมื่อมีบทกำหนดโทษที่รุนแรงการให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดจึงเป็นเรื่องสำคัญที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้มีการใช้กฎหมายกลั่นแกล้งกันหรือใส่ร้ายป้ายสีสร้างเรื่องเท็จเพื่อทำลายล้างทางการเมือง
"ร่างกฎหมายพรรคการเมืองฉบับนี้ได้ให้อำนาจกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มากพอสมควรในการกำหนดกฎเกณฑ์กติการายละเอียดต่างๆรวมทั้งการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเอาผิดกับผู้ถูกกล่าวหาจึงอยากฝากให้ กรธ.ร่างกฎหมายพรป.ว่าด้วยกกต.ให้ได้บุคลากรที่พร้อมจะทำงานด้วยความถูกต้องเที่ยงธรรมไม่ตกเป็นเครื่องมือของบุคคลคณะบุคคลพรรคการเมืองเพื่อกลั่นแกล้งทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับ กกต. บางคณะในช่วงที่ผ่านมาทั้งนี้การออกกฎหมายใดก็ตาม ต้องคำนึงถึงการปฏิบัติตามกฎหมายได้จริงเพื่อให้เป็นไปตามหลักการและเหตุผลของกฎหมายนั้นการออกกฎหมายใดที่นำไปสู่ความพยายามหลีกเลี่ยงที่จะปฏิบัติตามหรือไม่สามารถปฏิบัติตามได้จริงก็จะเป็นการออกกฎหมายที่สูญเปล่า"นายองอากล่าว