น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า ขอยุติการปฏิบัติหน้าที่ กสทช.ไปก่อนจนกว่าจะมีการตีความคุณสมบัติ หลังศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีกลุ่มองค์กรภาคประชาชนนำผู้ชุมนุมที่ตนเองมีส่วนร่วมเข้าบุกรัฐสภา เมื่อปี 50 เพื่อขัดขวางไม่ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาร่างกฎหมาย โดยศาลฎีกามีคำพิพากษากลับจากที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง เป็นให้รอการกำหนดโทษจำเลยทั้งหมดไว้เป็นเวลา 2 ปี
"วันนี้ดิฉันจะทำบันทึกแจ้งเลขาธิการ กสทช.ถึงคำพิพากษาให้สำนักงานตีความกฎหมาย โดยตั้งแต่วันนี้ดิฉันจะยุติการปฏิบัติหน้าที่ไปก่อน (ไม่รับค่าตอบแทน) ถ้าการตีความออกมาว่าไม่ขัดคุณสมบัติก็ค่อยกลับมาปฏิบัติหน้าที่ต่อ แต่ถ้าขัดก็ถือว่าสิ้นสภาพการเป็น กสทช.ตามกฎหมายตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป" น.ส.สุภิญญา ระบุ
ทั้งนี้ร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 มาตรา 6 (7) บัญญัติว่า คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการจะต้องไม่เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดใด เว้นแต่เป็นความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท
อนึ่ง คดีนี้อัยการคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายจอน อึ้งภากรณ์ กับพวกรวม 10 คน ได้แก่ นายสาวิทย์ แก้วหวาน, นายศิริชัย ไม้งาม, นายพิชิต ไชยมงคล, นายอนิรุทธ์ ขาวสนิท, นายนัสเซอร์ ยีหมะ, นายอำนาจ พละมี, นายไพโรจน์ พลเพชร, น.ส.สารี อ๋องสมหวัง และ น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ เป็นจำเลย คดีร่วมกันก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง
กรณีเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.50 จำเลยกับพวกรวมตัวกันที่บริเวณถนนอู่ทองในแล้วบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา ก่อให้เกิดความวุ่นวายเสียหาย โดยศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1-4, 7 และ 8 คนละ 1 ปี 4 เดือน ปรับคนละ 6 พันบาท ส่วนจำเลย 5, 6, 9 และ10 จำคุกคนละ 8 เดือน ปรับคนละ 6 พันบาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี ส่วนในชั้นศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด ก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาในครั้งนี้