พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) โดยที่ประชุมได้มีการหารือถึงสถานการณ์ฝนในปัจจุบันว่า ประเทศไทยมีปริมาณฝนสะสมสูงกว่าค่าปกติ 43% จากการคาดการณ์ปริมาณฝนรายเดือนจะพบว่าเดือนส.ค.-ก.ย.นี้ จะมีฝนตกชุกหนาแน่นและมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้น อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากได้ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก รวมถึงภาคใต้ฝั่งตะวันตก
ส่วนในช่วงเดือนต.ค. มีโอกาสที่พายุจะเคลื่อนตัวเข้าใกล้หรือผ่านภาคใต้ ทำให้พื้นที่ดังกล่าวมีฝนตกชุกหนานแน่น ทั้งนี้ ต้องขอให้ประชาชนติดตามข่าวพยากรณ์อากาศและรับฟังคำเตือนจากหน่วยงานราชการต่อไป
นอกจากนั้น ในการประชุม กนช. นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกหน่วยเร่งแก้ไขปัญหาการจัดการน้ำ โดยดำเนินการให้เป็นระบบ โดยน้อมนำแนวทางพระราชดำริมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการน้ำ การเพิ่มพื้นที่กักเก็บ การจัดทำประตูน้ำ คลองผันน้ำ คลองไส้ไก่ การเก็บน้ำลงดิน การพิจารณาพื้นที่เนินเขาเป็นพื้นที่รับน้ำ ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยง ทั้งน้ำแล้งและน้ำท่วม ครอบคลุมทั้ง 4 ภาค รวมถึงพื้นที่กรุงเทพฯ และการป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจ
รวมถึงแผนป้องกันอุทกภัยเฉพาะพื้นที่ ให้แก้ไขปัญหาไม่น้อยกว่า 30-50% ในช่วง 2 ปีแรก (ปี 2560-2562) พร้อมทั้งเร่งจัดการสิ่งกีดขวางทางน้ำให้แล้วเสร็จ และเพื่อให้การแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ มีการบูรณาการโดยให้ทุกหน่วยส่งให้ฝ่ายเลขานุการ กนช. นำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน 1 เดือน
นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดเอกภาพและมีบูรณาการการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน จึงให้กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สนร.)
ด้านนายวรศาสตร์ อภัยพงษ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ แถลงผลการประชุมกนช.ว่า ที่ประชุมมีมติให้กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดการทำงานอย่างมีเอกภาพ มีการบูรณาการการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และเป็นไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากที่ผ่านมาการบริการจัดการน้ำ ต้องประสานงานหลายหน่วยงาน ดังนั้นการให้กรมทรัพยากรน้ำมาสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี จะทำให้สามารถรับข้อสั่งการจากนายกรัฐมนตรี ได้โดยตรง เพื่อให้เกิดการประสานการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ทันเหตุการณ์
โดยการปรับเปลี่ยนครั้งนี้จะไม่มีอุปสรรค เพราะทางกรมมีโครงสร้างการทำงานในลักษณะนี้อยู่แล้ว ส่วนจะมีการเปลี่ยนชื่อเป็น สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือไม่ จะต้องรอกระบวนการปรับเปลี่ยนตามกฎหมายที่ชัดเจนอีกครั้ง ซึ่งคาดว่ามีการออกคำสั่งตามมาตรา 44 มาดำเนินการและคงใช้เวลาไม่นาน
นอกจากนี้ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นอกสถานที่ที่จ.นครราชสีมา จะมีการหารือถึงแผนป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งระบบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคต