พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ได้เรียกประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร(องค์การมหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นต้น เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ การบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทาน และการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ำเจ้าพระยา
เนื่องจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาปริมาณฝนตกหนักส่งผลให้น้ำไหลเข้าเขื่อนขนาดกลางและขนาดใหญ่ทั่วประเทศเพิ่มขึ้น ประกอบกับช่วง 2-3 วันที่ผ่านมามีปริมาณฝนตกท้ายเขื่อนเป็นส่วนใหญ่ ทั้ง จ.กำแพงเพชร พิจิตร เพชรบูรณ์ และภาคอีสานหลายจังหวัดส่งผลทำให้ปริมาณน้ำไหลเข้าสู่ลำน้ำมากขึ้น โดยปริมาณน้ำไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาที่ จ.นครสรรค์อยู่ที่ 2,468 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ลุ่มน้ำยมก็มีปริมาณฝนตกมากที่ จ.พิจิตร เช่นกัน
กรมชลประทานได้หารือกับ กฟผ.อย่างใกล้ชิดเมื่อเห็นแนวโน้มปริมาณไหลเข้าสู่ลำน้ำเพิ่มขึ้น โดยปิดการระบายน้ำที่เขื่อนภูมิพลและสิริกิตติ์ เพื่อไม่ให้น้ำตอนบนไม่ไหลมากระทบ รวมถึงมีการตัดยอดน้ำเข้าสู่พื้นที่แก้มลิง เช่น พื้นที่บางระกำ ซึ่งกรมชลประทานได้มีการวางแผนล่วงหน้าโดยดึงนำออกจากหาดสะพานจันทร์ออกทางฝั่งน่านระบายลงสู่บางระกำที่สามารถรับน้ำได้ 400 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยขณะนี้รับน้ำแล้วกว่า 380 ล้านลูกบาศก์เมตรซึ่งส่งผลกระทบต่อเส้นทางสัญจรอยู่บ้างซึ่งกรมชลประทานจะนำไปปรับแผนให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด
ด้านนายสมเกียรติ ประจำวงษ์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า นอกจากการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ที่ยังมีปริมาณน้ำขังเดิมแล้ว กรมอุตุนิยมวิทยายังคาดการณ์อาจเกิดผลกระทบในหลายพื้นที่ โดยช่วงวันที่ 9-10 ต.ค.นี้ยังมีหย่อมความกดอากาศต่ำยังคงอยู่ และจะส่งผลกระทบกับอีสานตอนบน จ.สกลนคร นครพนม ยโสธร และภาคเหนือตอนบน ซึ่งพื้นที่ภาคเหนือไม่น่าเป็นห่วงมากนัก เนื่องจากยังมีเขื่อนภูมิพลที่ปัจจุบันปริมาณน้ำในเขื่อน 60% ของความจุอ่าง และเขื่อนสิริกิตติ์ 80% ของความจุอ่าง แต่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในพื้นที่ลุ่มน้ำชีที่ต้องเร่งแผนการพร่องน้ำเพิ่มเติมเช่นการระบายน้ำจากเขื่อนอุบลรัตน์ ซึ่งขณะนี้ปริมาณเต็มความจุ 100% แล้ว จำเป็นจะต้องระบายน้ำเพิ่มเติมซึ่งอาจส่งผลให้หลายพื้นที่ได้รับผลกระทบ
ดังนั้น รมว.เกษตรฯ ได้สั่งการให้มีการประสานแจ้งทางผู้ว่าราชการจังหวัด รวมถึงองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ผ่านกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ถึงข้อมูลปริมาณน้ำไหลผ่าน และระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นแต่ละจุดให้ชัดเจน โดยกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัยจะเป็นหน่วยงานหลักในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบอย่างใกล้ชิด
ส่วนช่วงประมาณวันที่ 15- 17 ต.ค.60 กรมอุตุนิยมวิทยาได้ติดตามการก่อตัวของพายุ ที่จะมีความชัดเจนประมาณวันที่ 13 ต.ค.นี้ ซึ่ง รมว.เกษตรฯ ได้สั่งการให้มีการประชุมติดตามสถานการณ์ทุกวัน และทุกๆ 6 ชั่วโมงเพื่อประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการส่งเครื่องจักรเครื่องมือต่างๆ เพื่อระบายน้ำออกจากพื้นที่ โดยเฉพาะการเร่งสูบน้ำออกทะเลบริเวณชายขอบของอ่าวไทยช่วงที่น้ำทะเลยังไม่หนุนสูงขณะนี้ และในช่วง 1 สัปดาห์นี้จะมีการปรับแผนระบายน้ำเพิ่มทั้งพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมในปัจจุบัน และแผนรองรับปริมาณน้ำที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยอาจจะมีการเร่งการระบายน้ำที่เขื่อนในพื้นที่ภาคกลางและอีสาน คือ เขื่อนเจ้าพระยา เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเขื่อนอุบลรัตน์ ที่ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและให้กระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำน้อยที่สุด