นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ตามที่ได้รับรายงานจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตรว่า ในช่วงวันที่ 9 - 11 ต.ค. 60 ประเทศไทยจะมีฝนตกชุกหนาแน่นกับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ตอนบน รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เนื่องจากหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงได้พัฒนาเป็นพายุดีเปรสชันแล้วปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีแนวโน้มเคลื่อนเข้าปกคลุมประเทศเวียดนามตอนกลาง ในวันนี้ (10 ต.ค. 60) หลังจากนั้นจะเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือในช่วงวันที่ 10 - 11 ต.ค. 60 ตามลำดับ และมีแนวโน้มที่จะมีฝนตกต่อเนื่องในช่วงวันที่ 13 - 15 ต.ค. 60
ลักษณะเช่นนี้ จะทำให้บริเวณพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำป่าสัก มีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักถึงหนักมาก ซึ่งจะส่งผลให้มีปริมาณน้ำท่าไหลเข้าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์อย่างต่อเนื่องตามไปด้วย ปัจจุบัน(9 ต.ค. 60) เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำในอ่างฯ 864 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 90 ของความจุที่ระดับเก็บกัก คงเหลือพื้นที่รองรับน้ำได้อีกเพียง 96 ล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่ยังไม่สิ้นสุดฤดูฝนของภาคกลาง ดังนั้น เพื่อให้มีพื้นที่รองรับปริมาณน้ำอย่างเหมาะสม
ดังนั้น กรมชลประทาน มีความจำเป็นที่ต้องระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เพิ่มขึ้น จากเดิมวันละ 25 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นวันละ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเมื่อน้ำจำนวนนี้ไหลลงไปรวมกับปริมาณน้ำจากคลองชัยนาท-ป่าสักแล้ว จะควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนพระรามหกให้อยู่ในเกณฑ์ 550 - 600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ส่งผลให้พื้นที่ริมแม่น้ำป่าสัก ตั้งแต่ท้ายเขื่อนพระรามหก อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนถึงจุดบรรจบแม่น้ำเจ้าพระยา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 0.20 - 0.30 เมตร
ทั้งนี้ กรมชลประทาน ได้รายงานสถานการณ์น้ำไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำป่าสัก ให้เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด หากมีความจำเป็นต้องระบายน้ำเพิ่มอีก เนื่องมาจากมีฝนตกลงมาเพิ่ม กรมชลประทาน จะแจ้งให้ทราบเป็นระยะๆต่อไป