นายทองเปลว กองจันทร์ รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า หลังจากที่กรมชลประทาน ได้ปรับแผนการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา มากขึ้นจากแผนเดิม 2,000 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที เป็น 2,600 ลบ.ม.ต่อวินาที เนื่องจากในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างยังคงมีฝนตกชุกกระจาย ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลหลากลงสู่แม่น้ำปิงและแม่น้ำน่าน ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดนครสวรรค์อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ กรมชลประทาน จะทยอยเพิ่มการระบายน้ำลงสู่ด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาตามปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นบริเวณเหนือเขื่อนจนถึงอัตรา 2,600 ลบ.ม.ต่อวินาทีในวันที่ 12 ต.ค.60 และจะคงการระบายน้ำในอัตราดังกล่าวต่อเนื่องไปประมาณ 1 สัปดาห์ ส่งผลให้ระดับน้ำด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาตั้งแต่จังหวัดชัยนาทไปจนถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะค่อยๆเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 0.80-1.20 เมตรนั้น
จากการติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาของศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ พบว่าล่าสุด (10 ต.ค. 60) มีปริมาณน้ำไหลผ่านที่สถานี C.2 อ.เมืองนครสวรรค์ 2,528 ลบ.ม.ต่อวินาทีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่ง 1.97 เมตร มีน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในเกณฑ์ 2,188 ลบ.ม.ต่อวินาที ส่งผลให้พื้นที่ลุ่มต่ำด้านท้ายเขื่อนนอกคันกั้นน้ำ ซึ่งได้รับผลกระทบน้ำเอ่อล้นตลิ่งเดิมมีระดับสูงขึ้น ได้แก่ บริเวณคลองโผงเผง คลองบางบาล และริมแม่น้ำน้อย บริเวณ อ.บางบาล อ.เสนา และอ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา
กรมชลประทานได้บริหารจัดการน้ำ เพื่อลดผลกระทบในบริเวณดังกล่าวให้มากที่สุด โดยการทดระดับน้ำบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยาที่ไหลมาจากจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อชะลอน้ำไว้ให้อยู่ในเกณฑ์ควบคุม พร้อมกับใช้ระบบชลประทานทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกรับน้ำเข้าไปอย่างเต็มศักยภาพ รวมกันวันละประมาณ 474 ลบ.ม.ต่อวินาที จากนั้นจะใช้พื้นที่ลุ่มต่ำต่างๆ รับน้ำเข้าไปเก็บไว้ในทุ่ง เพื่อลดยอดปริมาณน้ำที่จะไหลผ่านลงสู่พื้นที่ตอนล่าง
ทั้งนี้ กรมชลประทาน ยังได้กำชับให้โครงการชลประทานทุกโครงการในลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะโครงการฯที่มีพื้นที่ติดกับริมแม่น้ำจัดส่งเจ้าหน้าที่ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำเครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องสูบน้ำ และกระสอบทราย เข้าไปช่วยเหลือเร่งระบายน้ำในพื้นที่ชุมชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบกับปัญหาน้ำท่วมแล้ว
ในส่วนของการรับน้ำเข้าทุ่งพื้นที่ลุ่มต่ำตอนล่าง จนถึงปัจจุบัน(10 ต.ค. 60) พื้นที่ฝั่งตะวันออก รับน้ำเข้าไปแล้วรวมทั้งสิ้น 387.40 ล้าน ลบ.ม. จากปริมาณน้ำที่รับได้สูงสุด 437 ล้าน ลบ.ม. และพื้นที่ฝั่งตะวันตก รับน้ำเข้าไปแล้วรวมทั้งสิ้น 500.27 ล้าน ลบ.ม. จากปริมาณน้ำที่รับได้สูงสุด 1,077 ล้าน ลบ.ม. รวมทั้งสองฝั่งรับน้ำไปแล้วทั้งสิ้น 887.67 ล้าน ลบ.ม. จากความจุเก็บกักสูงสุดที่รับได้รวมกันประมาณ 1,500 ล้าน ลบ.ม.
สำหรับสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำป่าสักนั้น ภายหลังจากที่กรมชลประทาน ได้ปรับแผนการระบายน้ำเพิ่มจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เนื่องจากบริเวณพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำป่าสัก ยังคงมีฝนตกชุกหนาแน่น ส่งผลให้มีปริมาณน้ำท่าไหลเข้าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน (10 ต.ค. 60) เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำในอ่างฯ 878 ล้าน ลบ.ม.คิดเป็น 91% ของความจุที่ระดับเก็บกัก คงเหลือพื้นที่รองรับน้ำได้อีกเพียง 82 ล้าน ลบ.ม.เท่านั้น ในขณะที่ยังไม่สิ้นสุดฤดูฝนของภาคกลาง
ล่าสุด (10 ต.ค. 60) พบว่ามีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มากถึงวันละประมาณ 42 ล้าน ลบ.ม.ดังนั้น เพื่อเป็นการรองรับปริมาณน้ำที่จะไหลเข้าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เพิ่มขึ้นอีก จำเป็นต้องเพิ่มการระบายน้ำมากขึ้นจากเดิมวันละ 25 ล้าน ลบ.ม. เป็นวันละ 30 ล้าน ลบ.ม.เพื่อให้เกิดความสมดุลของน้ำไหลเข้าอ่างฯกับปริมาณน้ำที่ระบาย พร้อมกันนี้ ได้ควบคุมปริมาณปริมาณน้ำที่จะไหลผ่านเขื่อนพระรามหก ให้อยู่ในเกณฑ์ 550-600 ลบ.ม.ต่อวินาที ส่งผลให้พื้นที่ริมแม่น้ำป่าสัก ตั้งแต่ท้ายเขื่อนพระรามหก อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนถึงจุดบรรจบแม่น้ำเจ้าพระยา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 0.20-0.30 เมตร ปัจจุบันมีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนพระรามหกลงสู่ด้านท้ายบริเวณอำเภอท่าเรือ ในเกณฑ์ 476 ลบ.ม.ต่อวินาที ยังไม่ส่งผลกระทบให้เกิดน้ำเอ่อล้นตลิ่ง ซึ่งยังคงต้องติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด เนื่องจากพื้นที่ตอนบนยังคงมีฝนตกชุก