พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยืนยันว่า รัฐบาลได้มีการบริหารจัดการน้ำเป็นไปตามแผนที่วางไว้ แต่ต้องทำความเข้าใจว่า ในปีนี้มีปริมาณน้ำไม่น้อยกว่าปี 2554 จึงมีพื้นที่ที่ต้องได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำที่รัฐบาลได้วางแผน และประกาศไปยังเกษตรกรให้เร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตไว้ เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบ และใช้เป็นแก้มลิงรับน้ำ ซึ่งทั้งหมดก็เป็นไปตามแผนบริหารจัดการน้ำในภาพรวมที่ไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง
โดยขณะนี้พื้นที่ภาคกลางกำลังเร่งระบายน้ำจากแก้มลิง 12 ทุ่งลงทะเล ก่อนที่จะถึงช่วงน้ำทะเลหนุนสูง ซึ่งสถานการณ์ภาพรวมขณะนี้เริ่มดีขึ้นในหลายพื้นที่มีปริมาณน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม อยากทำความเข้าใจกับประชาชนว่า ประเทศไทยมี 25 ลุ่มน้ำ และปีนี้ได้รับผลกระทบจากพายุ และดีเปรสชั่นทำให้มีปริมาณน้ำมาก โดยเฉพาะลุ่มแม่น้ำภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องวางแนวทางแก้ปัญหาระยะยาว เช่น ได้เร่งการจัดตั้งสำนักงานการบริหารจัดการน้ำแห่งชาติ ให้เริ่มประชุมได้อย่างเร็วที่สุด
รวมถึงเร่งดำเนินการโครงการคลองระบายน้ำ บางบาล บางไทร ที่จะใช้งบประมาณกว่า 1 หมื่นล้านบาท ที่จะสามารถช่วยการระบายน้ำไม่ให้เข้ามายังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวมถึงการศึกษาโครงการสร้างคลองระบายน้ำจากลุ่มน้ำป่าสักลงทะเล ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณที่สูงถึง 3-4 หมื่นล้านบาท พร้อมกันนี้รัฐบาลก็จะต้องดูแลในเรื่องของน้ำบริโภค ประปา ที่จะต้องจัดสร้างให้ครบกว่า 9,000 แห่ง
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ขณะนี้ได้เตรียมความพร้อมในการรับมือพายุฝนในพื้นที่ภาคใต้ที่จะเข้ามา ในช่วง 31 ต.ค. ถึง 3 พ.ย.นี้ โดยต้องเฝ้าระวังฝนตกหนัก
ขณะที่ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ได้มีการหารือถึงแนวทางการเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในหลายจังหวัด ซึ่งมีระเบียบของหน่วยงานราชการต่างๆ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย ตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงการคลัง ซึ่งจะครอบคลุมทั้งที่อยู่อาศัย พื้นที่การเกษตร และการประกอบอาชีพอื่นๆ ซึ่งได้สั่งการให้เร่งสำรวจความเสียหายให้เกิดความชัดเจน ว่าพื้นที่ใดเป็นพื้นที่น้ำท่วมปกติ พื้นที่รับน้ำ และพื้นที่ใดที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำเฉพาะปีนี้ เพื่อวางแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาอย่างเหมาะสม