พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบรายงานสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาล่าสุด โดยกรมชลประทานได้ปรับลดการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาในภาพรวมลง 300 ลบ.ม./วินาที ทำให้ระดับน้ำในช่วง อ.สรรพยา จ.ชัยนาท เริ่มลดลง 15 – 20 ซม. ส่วน จ.สิงห์บุรี และอ่างทอง ลดลง 10 ซม. ส่วนบริเวณคลองโผงเผงและคลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ลดลง 6 - 8 ซม. และคาดว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำบริเวณปากแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อบังคับน้ำให้ไหลลงสู่ทะเลรวดเร็วขึ้น ควบคู่กับการระบายน้ำออกจากทุ่ง 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เริ่มต้นที่ทุ่งบางระกำ จ.พิษณุโลก ตั้งแต่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา และจะดำเนินการต่ออีก 12 ทุ่งตอนล่าง ในวันที่ 15 พ.ย.นี้ โดยย้ำว่าน้ำที่ถูกระบายออกจะเข้าสู่ระบบชลประทานก่อนแล้วจะกระจายออกไปฝั่งซ้ายและขวา ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่น้ำท่วมอยู่แล้ว
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเป็นห่วงประชาชนที่ประสบภัยทุกพื้นที่ จึงได้ออกตรวจเยี่ยมเร่งรัดการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำเป็นอย่างมาก เนื่องจากประเทศไทยเกิดปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งเป็นประจำทุกปี อย่างไรก็ตาม ปริมาณฝนในปี 2554 และปี 2560 มีความใกล้เคียงกัน คือ 1,771 มม. และ 1,740 มม.ตามลำดับ แต่รัฐบาลได้ทบทวนแนวทางการป้องกันและรับมือกับปัญหาเป็นอย่างดี จึงทำให้เกิดผลกระทบน้อยกว่าในอดีต โดยเฉพาะพื้นที่การเกษตรที่เลื่อนระยะเวลาเพาะปลูกให้เร็วขึ้น เช่น ทุ่งบางระกำ และอีก 12 ทุ่งใต้เขื่อนเจ้าพระยา ทำให้สามารถรองรับน้ำจากพื้นที่ตอนบนไม่ให้ไหลลงสู่ด้านล่างได้ถึง 2,000 ล้านลบ.ม.
สำหรับพื้นที่ที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงแล้ว นายกรัฐมนตรีได้สั่งการผ่านกระทรวงมหาดไทยไปยังแต่ละจังหวัด เพื่อให้เร่งสำรวจ ประเมิน และจัดทำบัญชีความเสียหายให้ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งด้านชีวิต ครอบครัวผู้เสียชีวิตทุกราย ด้านการประกอบอาชีพ ด้านที่อยู่อาศัย ด้านการเกษตร ด้านสิ่งสาธารณประโยชน์ เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยและฟื้นฟูความเสียหายให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
"นายกฯ ขอให้ทุกจังหวัดที่ประสบภัยทำความเข้าใจกับประชาชน เพื่อให้ทุกคนคลายความกังวลจากปัญหาที่ต้องพบเจอ โดยรัฐบาลและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะไม่ทอดทิ้งผู้ประสบภัย และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเต็มที่ตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่กำหนด จึงขอให้ทุกคนเชื่อมั่นและร่วมมือเพื่อฝ่าวิกฤติไปด้วยกัน" โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุ