นพ.อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีและโฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวถึงวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าวมีอันตรายกับคนไข้ ว่า วัคซีนป้องกันโรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้า มีประสิทธิภาพและปลอดภัย ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และมีใช้ในประเทศไทยเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างเตรียมขยายการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จากปัจจุบันที่ให้บริการอยู่ในสองจังหวัดคือสุโขทัยและเพชรบูรณ์ เป็นจังหวัดที่นำร่องการให้บริการวัคซีนดังกล่าว ซึ่งได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง โดยพาบุตรหลานมารับบริการวัคซีนดังกล่าวเป็นอย่างดี ส่งผลให้เด็กป่วยด้วยโรคอุจจาระร่วงที่ต้องนอนโรงพยาบาลลดลงเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ดี ขณะนี้กำลังรอการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อนำวัคซีนโรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้าเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อจะนำเข้าสู่แผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศต่อไป ทำให้ขณะนี้ยังไม่มีให้บริการในโรงพยาบาลรัฐทั่วไป แต่มีให้บริการแบบมีค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย หรือโรงพยาบาลของรัฐบางแห่ง
สำหรับข้อบ่งใช้วัคซีนป้องกันโรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้านั้น ใช้เฉพาะในเด็กเล็ก เป็นวัคซีนชนิดหยอดเข้าทางปาก จำนวน 2 หรือ 3 ขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีน อายุที่ให้วัคซีน คือ 2 และ 4 เดือน ถ้าเป็นชนิดหยอดสองครั้ง และ 2, 4 และ 6 เดือน สำหรับชนิดหยอด 3 ครั้ง โดยวัคซีนสามารถลดการป่วยหรือลดความรุนแรงของโรคได้
นพ.อัษฎางค์ กล่าวอีกว่า คำแนะนำสำหรับประชาชนในการป้องกันโรค คือใช้มาตรการ “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ" และขอให้ประชาชนหมั่นสังเกตอาการ หากเริ่มมีไข้ อาเจียน หรืออุจจาระร่วง ควรหยุดเรียน หยุดงาน หมั่นล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาด ดื่มน้ำเกลือแร่หรือสารละลายเกลือแร่ เพื่อทดแทนสารน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป ไม่ควรซื้อยาฆ่าเชื้อกินเอง เพราะโรคนี้สามารถหายได้เอง แต่หากอาการรุนแรงขึ้น เช่น อาเจียนหรือถ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ให้รีบพบแพทย์โดยเร็ว