พ.ต.อ.อดิศักดิ์ คุณพันธ์ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 7 พร้อมด้วยนายวิทยา พันธุ์มงคล ผู้ช่วยผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และผู้แทนจากกิจการร่วมค้าเอสเอช-ยูเอ็น ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธา โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายช่วงเตาปูน-ท่าพระ (สัญญาที่ 3) แถลงการจัดจราจรงานก่อสร้าง Cement Column ป้องกันโครงสร้างรถไฟฟ้าฯ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และการก่อสร้างโครงการทางลอดถนนจรัญสนิทวงศ์ กับถนนพรานนก ของกรุงเทพมหานคร บริเวณแยกไฟฉาย และการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นสะพานข้ามคลองมอญ
สำหรับการก่อสร้างทางวิ่งรถไฟฟ้าและสถานีรถไฟฟ้าบริเวณแยกไฟฉาย ของ รฟม. ที่กำลังดำเนินการก่อสร้าง ร่วมกับ โครงการทางลอดถนนจรัญสนิทวงศ์ กับถนนพรานนก ของกรุงเทพมหานคร โดย รฟม. ได้ดำเนินการก่อสร้างโครงสร้างเหล็กทางวิ่งรถไฟฟ้าช่วงข้ามทางแยก (BOWSTRING) แล้วเสร็จ และอยู่ระกำลังดำเนินการก่อสร้างสถานีไฟฉาย
ทั้งนี้ เพื่อความแข็งแรงของโครงสร้างทั้ง 2 โครงการ จึงทำการก่อสร้าง Cement Column ป้องกันโครงสร้างรถไฟฟ้าฯ และผนังทางลอด โดยการปรับปรุงคุณภาพดิน เพื่อลดแรงดันดินด้านข้างที่จะกระทำต่อผนังอุโมงค์ทางลอดและโครงสร้างรถไฟฟ้า และสำหรับสะพานข้ามคลองมอญ มีการเปิดใช้งานมาเป็นเวลานาน จำเป็นต้องซ่อมแซมโครงสร้างพื้นสะพานข้ามคลองมอญให้มีความสมบูรณ์พร้อมใช้งาน
ดังนั้น ในระหว่างการก่อสร้างก่อสร้าง Cement Column เพื่อป้องกันโครงสร้างรถไฟฟ้าฯ และผนังทางลอด และซ่อมแซมโครงสร้างพื้นสะพานข้ามคลองมอญ จำเป็นต้องปิดและเบี่ยงช่องจราจร ทำให้เสียผิวจราจรในบางช่วง ซึ่งได้ดำเนินการเพิ่มช่องจราจรทดแทนให้รถวิ่งใต้สถานีไฟฉาย เป็นการชั่วคราวในช่วงที่มีการก่อสร้างและติดตั้งสัญญาณไฟควบคุมทิศทางจราจร และจัดทิศทางสลับช่องจราจรตามช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยจะมีการจัดการจราจรบริเวณพื้นที่ดังกล่าวในระหว่างที่มีการก่อสร้าง ทั้ง 2 จุด ดังนี้
แยกไฟฉาย ระยะเวลาก่อสร้าง Cement Column เริ่มตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 31 พฤษภาคม 2561 รวม 4 เดือน โดยทำการก่อสร้างทีละฝั่งและจัดช่องจราจรทดแทน ให้สามารถวิ่งใต้สถานีไฟฉาย จำนวน 3 ช่องจราจร พร้อมทั้งติดตั้งสัญญาณไฟควบคุมทิศทางจราจร โดยจัดจราจร แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 ปิด 2 ช่องจราจร ด้านข้างผนังอุโมงค์ไฟฉาย ฝั่งเหนือ เริ่มจากแยกไฟฉาย ถึง ซอยจรัญสนิทวงศ์ 33 ขาออก มุ่งหน้าพระราม 7 ระยะทาง ประมาณ 320 เมตร ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 15 มีนาคม 2561 และแบ่งการทำงานเป็น 2 ช่วงเวลา คือ ช่วงกลางวัน ปิด 2 ช่องจราจร ด้านข้างผนังอุโมงค์ ขาออก จากแยกไฟฉาย ถึง ซอยจรัญสนิทวงศ์ 33 ตลอด 24 ชั่วโมง
ช่วงกลางคืน เวลา 22:00 - 05:00 น. ปิด 2 ช่องจราจร ด้านข้างผนังอุโมงค์แยกไฟฉาย 2 ฝั่ง ทั้งขาเข้า และ ขาออก โดยจัดให้รถวิ่งใต้สถานีไฟฉาย จำนวน 3 ช่องจราจร ไป – กลับ พร้อมทั้งติดตั้งสัญญาณไฟควบคุมทิศทางจราจร สลับตามความเหมาะสม
ทั้งนี้ เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ จะสลับฝั่งปิดจราจร 2 ช่อง ด้านข้างผนังอุโมงค์ไฟฉาย ฝั่งขาเข้า เริ่มจากแยกไฟฉาย ถึง ซอยจรัญสนิทวงศ์ 28/7 ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม ถึง 30 เมษายน 2561 รวมระยะเวลา ช่วงที่ 1 ทั้งสิ้น 3 เดือน
ช่วงที่ 2 หลังจากดำเนินการช่วงที่ 1 แล้วเสร็จ พร้อมเปิดช่องจราจรให้รถสามารถวิ่งได้ตามปกติ จะทำการเบี่ยง 2 ช่องจราจรแยกไฟฉาย ฝั่งใต้ เริ่มจากแยกไฟฉาย ถึง ซอยตลาดนครหลวง ฝั่งขาออก โดยเบี่ยงจราจร ฝั่งตรงข้าม ตั้งแต่วันที่ 1 – 15 พฤษภาคม 2561 ตลอด 24 ชั่วโมงและสลับไปเข้าฝั่งขาเข้าด้านทิศเหนือ เริ่มจากแยกไฟฉาย ถึง ซอยจรัญสนิทวงศ์ 28/3 ตั้งแต่วันที่ 16 – 31 พฤษภาคม 2561 ตลอด 24 ชั่วโมง รวมระยะเวลา 1 เดือน
สะพานข้ามคลองมอญ ระยะเวลาซ่อมแซมโครงสร้างพื้นสะพานข้ามคลองมอญ รวม 4 เดือน โดยจัดจราจร ในแต่ละเดือน ดังนี้
ช่วงที่ 1 เบี่ยงจราจร ขาเข้า ฝั่งชิดเกาะกลาง 1 เลน ให้รถวิ่งฝั่งชิดทางเท้า ตั้งแต่วันที่ 1 – 28 กุมภาพันธ์ 2561
ช่วงที่ 2 เบี่ยงจราจร ขาเข้า ฝั่งชิดทางเท้า 1 เลน ให้รถวิ่งฝั่งชิดเกาะกลาง ตั้งแต่วันที่ 1 – 31 มีนาคม 2561
ช่วงที่ 3 เบี่ยงจราจร ขาออก ฝั่งชิดเกาะกลาง 1 เลน ให้รถวิ่งฝั่งชิดทางเท้า ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 เมษายน 2561
ช่วงที่ 4 เบี่ยงจราจร ขาออก ฝั่งชิดทางเท้า 1 เลน ให้รถวิ่งฝั่งชิดเกาะกลาง ตั้งแต่วันที่ 1 - 31 พฤษภาคม 2561
นอกจากนี้ รฟม. บช.น. และ กทม. ไดร่วมกันแก้ไขปัญหาการจราจร เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการเดินทางของประชาชน โดย รฟม. ในนามโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยายช่วงหัวลำโพง- บางแค และช่วงเตาปูน – ท่าพระ ได้คืนช่องจราจรตลอดแนวการก่อสร้าง มีแผนคืนผิวจราจรทั้งหมดบนถนนเพชรเกษม และถนนจรัญสนิทวงศ์ ในปี 2561 นี้
ทั้งนี้ เมื่อการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน แล้วเสร็จ โดยช่วงหัวลำโพง-บางแค มีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2562 และช่วงเตาปูน-ท่าพระ มีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2563 ทำให้โครงข่ายรถไฟฟ้าสมบูรณ์ พร้อมที่จะเป็นรูปแบบการเดินทางหลักที่สร้างความสะดวกสบายให้กับประชาชน ส่งเสริมคุณภาพชีวิต ที่สำคัญยังช่วยแก้ไขปัญหาจราจรในกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้อย่างยั่งยืนต่อไป