นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ช่วงต้นปี 2561 นี้ คาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มพบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยที่ในระหว่างวันมีอากาศร้อนสลับฝน และช่วงเย็นถึงกลางคืนจะมีอากาศเย็น ประชาชนจึงมีโอกาสเสี่ยงป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่คนอยู่รวมกันจำนวนมาก เช่น โรงเรียนและค่ายทหาร เป็นต้น
ข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรครายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 12 กุมภาพันธ์ 2561 พบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่แล้ว 15,333 ราย เสียชีวิตแล้ว 1 ราย โดยพบผู้ป่วยมากในกลุ่มวัยทำงาน (อายุ 35-44 ปี) กลุ่มเด็กเล็ก (อายุแรกเกิด-4 ปี) และกลุ่มวัยเรียน (อายุ 10-14 ปี) ตามลำดับ สำหรับ 5 จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุดคือ พะเยา เชียงใหม่ ลำพูน กรุงเทพฯ และลำปาง ตามลำดับ
กรมควบคุมโรค ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพและป้องกันตนเองจากโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะสถานที่ที่คนอยู่รวมกันจำนวนมาก เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการรับเชื้อได้ง่าย ทั้งนี้ โรคไข้หวัดใหญ่ สามารถติดต่อกันได้ง่าย จากการไอหรือจามรดกัน โดยเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จะอยู่ในน้ำมูก น้ำลายหรือเสมหะของผู้ป่วย อาการจะคล้ายไข้หวัด แต่จะมีอาการ ปวดกล้ามเนื้อมาก และปวดศีรษะ อ่อนเพลีย แต่สามารถหายเองได้ใน 5-7 วัน
ทั้งนี้ กลุ่มเสี่ยงอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ปอดบวม หายใจลำบาก และอาจเสียชีวิตได้ ดังนั้นหากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง หรือผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรพบแพทย์ทันที สำหรับผู้ปกครองควรดูแลเด็กเล็กอย่างใกล้ชิด โดยหมั่นสังเกตอาการของเด็ก หากมีอาการป่วยคล้ายโรคไข้หวัดใหญ่ ควรให้หยุดเรียนและรีบพบแพทย์ทันที เพื่อรับการวินิจฉัยต่อไป
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงรับบริการฉีดวัคซีนปีละ 1 ครั้งอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยป้องกันและลดความรุนแรงของโรคลงได้ โดยกลุ่มเสี่ยงที่กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดไว้คือ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย รวมถึงผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ โดยกลุ่มดังกล่าวสามารถรับบริการได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขใกล้บ้าน