พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ไร้การควบคุม และขาดการรายงาน (IUU) ว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ที่เดินทางไปร่วมประชุมกับคณะทำงานของสหภาพยุโรป (อียู) ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ได้รายงานผลให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการอียูให้ความสำคัญเรื่องการบังคับใช้กฎหมายเป็นเรื่องแรกที่ต้องการให้ไทยจริงจังกับบทลงโทษ ซึ่งขณะนี้ไทยสามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกฎหมายประมงถึงที่สุดไปได้ราว 80% จากคดีที่ค้างอยู่กว่า 3,000 คดี รวมถึงตรวจสอบการจัดการเรือที่สูญหายได้ทั้งหมด เหลือเพียง 2 ลำที่สูญหายไปนานยังไม่สามารถติดตามได้ ซึ่งไทยได้รายงานต่อคณะทำงานของอียูแล้ว โดยท่าทีของอียูมีความเข้าใจและพอใจกับการดำเนินการของไทย ซึ่งคณะทำงานของอียูจะเดินทางมาประเทศไทยเพื่อติดตามความคืบหน้าในวันที่ 4-11 เม.ย.นี้
พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวอีกว่า ในวันที่ 5 มี.ค.นี้ คณะเจ้าหน้าที่ไทยจะวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับคณะทำงานอียูก่อน โดยจะพูดคุยเรื่องศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า-ออก (PIPO) เพื่อเร่งดำเนินการให้มีเจ้าหน้าที่สอดรับกับปริมาณงานการเข้า-ออกเรือ รวมถึงรายงานผลการตรวจสอบของชุดเฉพาะกิจการกระทำผิดของเรือในเดือน ม.ค.61 มีการลงโทษการกระทำผิดทั้งหมด 16 ราย และการบังคับใช้กฎหมาย
"ไม่ได้คาดว่าผลการปลดล็อคจะออกมาอย่างไร แต่คาดหวังว่าเรื่องการทำงานที่ชัดเจน เพราะเป็นเรื่องที่ไทยตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด เพื่อตอบข้อสงสัย ชี้แจงหลักปฏิบัติ ปรับปรุงการทำงานให้เข้มงวดที่สุด คิดว่าสิ่งเหล่านี้คณะทำงานอียูจะเห็น" พล.อ.ฉัตรชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องการให้ประเทศไทยมีการทำประมงที่ยั่งยืน เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมามีการใช้เครื่องมือทำลายการทำประมง มีเรือมากเกินไป ไม่มีกฎระเบียบ