น.ส.แสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการ เว็บไซต์จ๊อบไทยดอทคอม เปิดเผยว่า 3 สายงานสำคัญที่หุ่นยนต์จะมาช่วยสนับสนุนการทำงานของมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้แก่ 1) อาชีพด้านบริการ เนื่องจากหุ่นยนต์จะมาช่วยเหลือมนุษย์ให้การทำงานง่ายขึ้นทั้งผู้ให้บริการและลูกค้าที่มาใช้บริการ 2) อาชีพเฉพาะทาง เช่น ผู้ช่วยแพทย์ เนื่องจากหุ่นยนต์มีความแม่นยำสูง และสามารถทำงานได้โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาในการทำงาน และ 3) อาชีพให้คำปรึกษา เช่น ที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งข้อมูลที่ได้จะมีความแม่นยำสูง ช่วยลบข้อผิดพลาดรวมถึงความลำเอียงในบางสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจของมนุษย์
ขณะที่ 3 ทักษะอันเป็นจุดแข็งสำคัญที่ทำให้มนุษย์ยังเหนือกว่าหุ่นยนต์ก็คือ 1) ทักษะทางสังคม (Social Skills) 2) ทักษะทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) และ 3) ทักษะความคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) ที่จะเห็นได้ว่าเป็นทักษะที่เกิดจากการเรียนรู้โดยธรรมชาติของมนุษย์เป็นทุนเดิม ดังนั้นมนุษย์จึงต้องเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้โลกการทำงานในอนาคตของทั้งมนุษย์และหุ่นยนต์สามารถทำงานและอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
"ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้โลกธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง จนทำให้หลายองค์กรต่างนำระบบและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงานมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องระบบอัตโนมัติหรือปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ที่มีบทบาทมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในหลากหลายอาชีพ ทำให้หลายคนเกิดความวิตกกังวลว่าหุ่นยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่ทดแทนมนุษย์ได้ทั้งหมดในระยะเวลาอันใกล้นี้ แต่ในความเป็นจริงหากลองวิเคราะห์ข้อมูลแล้ว งานที่หุ่นยนต์จะเข้ามาทดแทนนั้นมักจะเป็นงานที่มีรูปแบบการทำงานแบบเดิมซ้ำๆ หรือเป็นงานที่เน้นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์มีความสามารถในการคำนวณข้อมูลที่ซับซ้อนได้รวดเร็วและแม่นยำกว่ามนุษย์ ดังนั้นเทคโนโลยีด้าน AI จะมีผลเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของมนุษย์ไปในทิศทางที่ดีขึ้น งานบางอย่างจะถูกหุ่นยนต์ทดแทนแต่ก็จะเกิดงานในรูปแบบใหม่ๆ ที่หุ่นยนต์ยังไม่สามารถทำแทนได้ เช่น งานที่ใช้ทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ งานที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ฯลฯ ตลอดจนงานบางอย่างที่มนุษย์สามารถนำจุดแข็งของหุ่นยนต์มาใช้และทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น"น.ส.แสงเดือน กล่าว