พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบรายงานความคืบหน้าการพิสูจน์สัญชาติ การจัดทำและปรับปรุงทะเบียนประวัติแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ระยะที่ 2 ณ ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จทั่วประเทศ โดยล่าสุดแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาได้รับการพิสูจน์สัญชาติครบถ้วนแล้ว ส่วนกัมพูชายังคงเหลือที่ต้องเข้ารับการพิสูจน์สัญชาติอีก 22,770 คน และลาว 5,614 คน
ส่วนการจัดทำและปรับปรุงทะเบียนประวัติแรงงานต่างด้าว ตรวจลงตราวีซ่า และขออนุญาตทำงาน ณ ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ระยะที่ 2 นั้น มีแรงงานที่คงเหลือจะต้องเข้าศูนย์ฯ อีกประมาณ 59,000 คน
"นายกฯ ขอบคุณทางการเมียนมาและนายจ้างของแรงงานต่างด้าวเมียนมาที่ได้ดำเนินการพิสูจน์สัญชาติแล้วเสร็จก่อนกำหนดที่ตั้งไว้ และขอความร่วมมือส่วนที่เหลือให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งการพิสูจน์สัญชาติและขั้นตอนอื่น ๆ เพราะเหลือเวลาอีกเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น เพื่อประโยชน์ของทั้งตัวแรงงานเองและการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวโดยรวม"
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่าไม่ควรรีรอจนถึงวันสุดท้ายเพราะอาจไม่ทันเวลาหรือไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควรหากมีผู้ไปติดต่อจำนวนมาก และรัฐบาลจะไม่มีการผ่อนปรนหรือขยายเวลาอย่างแน่นอน หากพ้นวันที่ 30 มิ.ย.61 แล้วยังไม่ไปดำเนินการ แรงงานต่างด้าวจะไม่สามารถอยู่และทำงานต่อไปได้ โดยจะต้องกลับประเทศต้นทางและกลับเข้ามาใหม่ในรูปแบบการนำเข้าแรงงานตามระบบ MOU
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 61 เจ้าหน้าที่จะระดมกวาดล้างผู้กระทำผิดกฎหมายครั้งใหญ่ หากพบแรงงานต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด จะมีโทษปรับ 5,000 – 50,000 บาท และเมื่อชำระค่าปรับแล้วจะถูกส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และห้ามขออนุญาตทำงานภายใน 2 ปี
ส่วนนายจ้างที่จ้างแรงงานต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด จะมีโทษปรับ 10,000-100,000 บาทต่อแรงงานต่างด้าวที่จ้าง 1 คน หากกระทำผิดซ้ำต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างแรงงานต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี