นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ ปัจจุบัน(13 ก.ย. 61) มีปริมาณน้ำในอ่างฯรวมกัน 57,758 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 76 ของความจุเก็บกักรวมกัน โดยมีปริมาณน้ำใช้การได้ 33,827 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 65 ของปริมาณน้ำใช้การได้รวมกัน สามารถรองรับน้ำได้อีก 18,337 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกัน 17,139 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 69 ของความจุอ่างฯรวมกัน มีปริมาณน้ำใช้การได้รวมกัน 10,443 ล้าน ลบ.ม. สามารถรองรับน้ำได้อีก 7,732 ล้าน ลบ.ม.
สำหรับสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปัจจุบัน(13 ก.ย. 61) มีปริมาณน้ำไหลผ่านที่สถานี C.2 อ.เมืองนครสวรรค์ 891 ลบ.ม./วินาที ระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่ง 6.17 เมตร แนวโน้มลดลง มีน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา 540 ลบ.ม./วินาที ทั้งนี้ บริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยาได้ทำการรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา รวมกันประมาณ 443 ลบ.ม./วินาที ปริมาณน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลดีที่จะมีพื้นที่สำหรับรองรับปริมาณน้ำเหนือ ที่อาจได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักในพื้นที่ตอนบน จากอิทธิพลพายุโซนร้อนบารีจัต และพายุไต้ฝุ่นมังคุด ในช่วงวันที่ 13 - 18 ก.ย. 61 ภาพรวมสถานการณ์น้ำใน 4 เขื่อนหลัก และลุ่มน้ำเจ้าพระยา ยังอยู่ในภาวะปกติ
ทั้งนี้ กรมชลประทาน ได้กำชับโครงการชลประทานทุกแห่งติดตามสถานการณ์น้ำและบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำต่างๆ ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม พร้อมกับสำรวจตรวจสอบระบบและอาคารชลประทานให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา อีกทั้งให้บูรณาการทำงานร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด(ปภ.) ฝ่ายความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการประชาสัมพันธ์และแจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบถึงสถานการณ์น้ำอย่างทั่วถึง