พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวภายหลังหารือแนวทางการแก้ปัญหาฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน (PM2.5) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า สาเหตุของปัญหามาจากสองส่วนหลัก คือ การสันดาปของเครื่องยนต์ดีเซล 60% และการเผาในที่โล่งแจ้งอีก 35% ซึ่งทุกหน่วยงานจะได้เริ่มปฏิบัติการตามมาตรการต่างๆ ที่จัดเตรียมไว้เพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าว หลังสถานการณ์ฝุ่นละอองปรับตัวสูงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ส่วนปัญหาฝุ่นละอองที่เกิดจากการก่อสร้างนั้นจะเป็น PM10
"ยอมรับว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะปัญหานี้เกิดขึ้นทุกวัน แต่สถานการณ์เกิดรุนแรงในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา" พล.ต.อ.อัศวิน กล่าว
มาตรการที่จะดำเนินการ ได้แก่ 1.การใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงทำความสะอาดผิวจราจรและพ่นละอองน้ำในพื้นทีมีปริมาณฝุ่นละอองสูง เช่น ย่านลาดพร้าว ย่านดินแดง โดยจะดำเนินการต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย 2.การแจกหน้ากาก N95 ให้กับประชาชนจำนวน 1 หมื่นชิ้นในพื้นที่ต่างๆ เช่น ราชประสงค์ สวมลุมพินี จตุจักร บางกะปิ บางขุนเทียน หลังจากนี้จะมีการแจกเพิ่มเติมในภายหลังต่อไป
ขณะเดียวกันทางกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) ได้กวดขันห้ามรถบรรทุกขนาดใหญ่เข้ามาในพื้นที่กรุงเทพชั้นในช่วงเวลา 09.00-15.00 น. พร้อมทั้งประสานกับ 5 จังหวัดปริมณฑลให้กวดขันห้ามการเผาในพื้นที่โล่งแจ้ง
ส่วนปฏิบัติการฝนหลวงนั้นจะตั้งฐานปฏิบัติการที่จังหวัดระยอง เพิ่มดำเนินการในช่วงวันที่ 15-19 ม.ค.นี้ ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมเพราะสภาพอากาศมีความชื้นสัมพัทธ์เกิน 60%
ด้านนายประลอง ดำรงค์ไทย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ยืนยันว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นจากการสะสมของฝุ่นละอองในพื้นที่นั้นๆ เป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้มาจากฝุ่นละอองที่อื่น ซึ่งขณะนี้ คพ.มีสถานีตรวจวัดอากาศ 33 จุด และเป็นของ กทม.อีก 9 สถานี
"ก่อนหน้านี้เริ่มไม่ได้ตรวจวัด PM2.5 สถานการณ์เพิ่งมารุนแรงในช่วงนี้" นายประลอง กล่าว
อธิบดี คพ.กล่าวว่า เราไม่สามารถกำหนดค่า PM2.5 ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกได้ เนื่องจากปัจจุบันเครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้อยู่เป็นมาตรฐานยูโร 3 แต่เกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกกำหนดนั้นใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลยูโร 6
"มาตรฐานที่เรากำหนดไว้เหมาะสมกับบริบทในขณะนี้แล้ว" นายประลอง กล่าว
อธิบดี คพ.กล่าวว่า ในอนาคตได้รับแจ้งว่าผู้ประกอบการว่ากำลังอยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนไปใช้น้ำมันดีเซล บี20 ตลอดจนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด และระบบขนส่งมวลชนทางราง ซึ่งจะช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายลงโดยอัตโนมัติ