นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดปฏิบัติการฝนหลวงสู้ภัยแล้ง ประจำปี 2562 ว่า ขณะนี้สถานการณ์ภัยแล้งได้เริ่มขึ้นแล้ว ปริมาณน้ำในเขื่อน อ่างเก็บน้ำและในแม่น้ำสายหลักอยู่ในเกณฑ์ไม่มากนัก อาจส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกในฤดูแล้ง สถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน รวมทั้งการขาดแคลนน้ำในการอุปโภคบริโภค ตลอดจนการผลิตน้ำประปา ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีนโยบายในการสนับสนุนการปลูกพืชใช้น้ำน้อย การเน้นใช้น้ำเพื่อการอุปโภค บริโภคอย่างประหยัด รวมทั้งได้มีการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำ มีการวางแผนบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้ง เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันและบรรเทาปัญหาภัยแล้ง รวมทั้งปัญหาหมอกควัน ฝุ่นละอองมาอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันกรมชลประทานยืนยันว่ามีปริมาณน้ำเพียงพอให้ประชาชนใช้ไปจนถึงเดือนพฤษภาคมนี้แน่นอน
อย่างไรก็ตามกระทรวงเกษตรฯ ได้ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือไปยังเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่เขตชลประทานในการประชาสัมพันธ์ให้ปลูกพืชใช้น้ำน้อย และใช้น้ำอย่างประหยัด ส่วนพื้นที่นอกเขตชลประทานได้มอบหมายให้ชลประทานจังหวัดเป็นเจ้าภาพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำรวจความต้องการการใช้น้ำและปริมาณน้ำที่มีอยู่ เพื่อเป็นข้อมูลในการนำมาบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งนี้
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้เตรียมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังทุกหน่วยงานในสังกัด เพื่อมอบนโยบายและแนวทางการดำเนินงานในวันจันทร์ที่ 4 มีนาคมนี้ด้วย
ด้ายนายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวว่า สำหรับในปี 2562 กรมฝนหลวงและการบินเกษตรมีแผนปฏิบัติการประจำปี ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2562 ซึ่งได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงประจำ 5 ภูมิภาค จำนวน 5 ศูนย์ ดำเนินการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จำนวน 12 หน่วยปฏิบัติการ เพื่อปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือให้ครอบคลุม 25 ลุ่มน้ำหลักในพื้นที่ 77 จังหวัด โดยมีแผนปฏิบัติการ ดังนี้ 1) แผนการป้องกันและแก้ไขภัยแล้ง 2) แผนการเติมน้ำต้นทุนให้เขื่อนกักเก็บน้ำ 3) แผนบรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่า 4) แผนการยับยั้งการเกิดพายุลูกเห็บ
นอกจากนี้ ที่ผ่านมากรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการฝนหลวงช่วยคลี่คลายสถานการณ์ฝุ่นละอองในอากาศเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งได้ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็วที่จังหวัดระยอง นครสวรรค์ พิษณุโลก และขอนแก่น ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2562 จนถึงปัจจุบัน เพื่อช่วยเหลือพื้นที่บริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมพื้นที่จำนวน 16 จังหวัด ปฏิบัติการไปแล้วทั้งสิ้น 17 วัน 92 เที่ยวบิน