แกนนำเครือข่ายเกษตรกรและแนวร่วมผู้ได้รับผลกระทบจากการแบน 3 สารเคมีกว่าพันคนเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล โดยมีนายสมพาส นิลพันธุ์ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้มารับหนังสือดังกล่าวแทนนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ เครือข่ายเกษตรกรฯ แถลงว่าการศึกษาผลกระทบจากการแบน 3 สารเคมีเกษตรอาจจะยังขาดการศึกษาผลกระทบและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นของอีกหลายภาคส่วนที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนของประเทศไทย การที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติควบคุมวัตถุอันตรายพาราควอต, ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ไปเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 จะส่งผลให้ประเทศก้าวสู่หายนะทางการเกษตร และมีผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคการบริโภค ภาคอุตสาหกรรม เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และท้ายสุดคือความมั่นคงของประเทศ
ที่สำคัญจากการดำเนินการแบน 3 สารเคมีเกษตรโดยไม่มีมาตรการที่ดีรองรับผลกระทบดังกล่าวนั้น อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 60 มาตรา 73 ที่ว่า "รัฐพึงจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มีปริมาณและคุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่ำ และสามารถแข่งขันในตลาดได้ และพึงช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากไร้ให้มีที่ดินทำกินโดยการปฏิรูปที่ดินหรือวิธีอื่นใด"
ดังนั้น ภาคเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากการแบน 3 สารเคมีเกษตร จึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ยับยั้งหรือชะลอการแบน 3 สารเคมีเกษตรออกไปจนกว่าจะได้ทำการศึกษาผลกระทบและความเสียหายอย่างรอบด้าน หรือจนกว่าจะได้มีสารเคมีเกษตรหรืออื่นใด ที่สามารถให้เกษตรได้ใช้เพื่อทำการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มีปริมาณและคุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่ำ และสามารถแข่งขันในตลาดได้
รายงานข่าว แจ้งว่า เครือข่ายเกษตรกรและแนวร่วมผู้ได้รับผลกระทบจากการแบน 3 สารเคมี จะเดินทางต่อไปยื่นหนังสือให้กับ รมว.เกษตรและสหกรณ์ และจะไปยังกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อยื่นหนังสือถึง รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่จะมีการประชุมในวันที่ 27 พ.ย.นี้ มีมติทบทวนการแบน 3 สารเคมีเกษตรดังกล่าว